การลงทะเบียนสายในทัวร์นาเมนต์ออนไลน์ แค่ไหนถึงจะสายเกินไป?

เราตั้งใจจะเล่นทัวร์นาเมนต์ให้จริงจังขึ้น

เราใช้เวลาในการศึกษาทฤษฎี หรือวิเคราะห์ hand แต่เราก็ยังถามตัวเองอยู่ตลอดว่า : เราควรจะเข้าไปเล่นทัวร์นาเมนต์เมื่อไหร่? เราควรจะลงทะเบียนล่วงหน้าทุกครั้ง, เราควรจะลงทะเบียนให้สายที่สุดเท่าที่ทำได้ หรืออะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกลางกันแน่?

โลกของโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์ออนไลน์เป็นอะไรที่ค่อนข้างน่ากลัวในทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้แต่ละทัวร์นาเมนต์ก็มีโครงสร้างเงินรางวัลและรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันกว่าเราจะคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นแบบ  Progressive Knockouts, Freezeouts, Turbos, Hyper-Turbos และอื่นๆ

นอกจากนี้ เกือบจะทุกไซต์จะอนุญาตให้มีการลงทะเบียนสายได้ ดังนั้น เราไม่เพียงแต่จะต้องกังวลเรื่องกลยุทธ์ในการเล่นบนโต๊ะเท่านั้น เรายังต้องมาคิดว่าจะไปนั่งเล่นบนโต๊ะเมื่อไหร่อีกด้วย

เนื้อหาในบทความนี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง :

  1. ก่อนลงทะเบียนในทัวร์นาเมนต์ใดๆ ต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง
  2. สายแค่ไหนถึงเรียกว่าลงทะเบียนสายเกินไป
  3. The Case for Late Registering Close to the Money
  4. คำแนะนำจาก Daniel McAulay โค้ชของ Upswing

มาเริ่มกันเลย

ก่อนลงทะเบียนทัวร์นาเมนต์ใดๆ ต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง

มีตัวแปรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ที่เราควรต้องคำนึงถึงก่อนจะตัดสินใจลงทะเบียนในแต่ละทัวร์นาเมนต์

ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment : ROI)

อย่างแรกที่เราต้องคำนึงถึง คือ ROI ของเรา

ยิ่งเรามี ROI น้อยเท่าไหร่ (ขึ้นถูกกำหนดจากฝีมือการเล่นของเรา) เรายิ่งต้องเตรียม buy-ins มากขึ้นเท่านั้น ใน bankroll ของเรา และ ยิ่งต้องลงทะเบียนให้เร็วขึ้นเท่านั้น ด้วยเช่นกัน

เหตุผลก็เพราะ ความได้เปรียบด้านทักษะของเราเทียบกับคนอื่นๆจะเยอะที่สุดในช่วงเริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ เราจึงอยากลงทะเบียนให้เร็วเพื่อให้มีเวลาในการเล่นมากที่สุด ถ้าเรามีทักษะเหนือคู่แข่ง

การแข่งขัน

ผู้เล่นมือสมัครเล่นส่วนใหญ่มักจะลงทะเบียนเร็วในการเล่นทัวร์นาเมนต์ มากกว่าผู้เล่นมืออาชีพ ซึ่งหมายความว่า ถ้าเราลงทะเบียนเร็วตาม โดยทั่วไปเรามีโอกาสจะเจอกับผู้เล่นที่ด้อยกว่า ขณะที่มี deep stack 

ยิ่งเราลงทะเบียนช้า ยิ่งมีโอกาสที่ผู้เล่นที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นผู้เล่นที่แข็งๆ เพราะพวกผู้เล่นที่อ่อนๆมักจะตกรอบกันไปก่อนแล้ว ดังนั้น การลงทะเบียนเร็วจะช่วยให้เราเจอการแข่งขันที่เบากว่า ซึ่งค่อนข้างสำคัญถ้า ROI ของเราไม่ได้สูงมากนัก

บทความที่เกี่ยวข้อง : สุดยอดแนวทางในการเอาชนะทัวร์นาเมนต์ที่มีการแข่งขันที่ไม่โหดมากนัก

ความผันผวน (Variance)

ยิ่งเราลงทะเบียนสาย ยิ่งมีโอกาสที่ ROI เราจะลดลง ทำให้ความผันผวนยิ่งสูงขึ้น แปลว่าเราต้องเตรียม bankroll เป็นกันชนไว้ให้มากขึ้น

ตัวอย่างเช่น bankroll ที่พอจะอุ่นใจสำหรับทัวร์นาเมนต์ราคา $11 อาจจะเตรียมไว้ประมาณ $1,500-$3,000 แต่ถ้าเราจะลงทะเบียนสาย แล้วเล่นแบบ short stack (20-30bb) เราควรวางแผนให้มี bankroll มากกว่านี้ประมาณ 2-3 เท่า

สายแค่ไหนถึงเรียกว่าลงทะเบียนสายเกินไป

(โน้ต : คำแนะนำด้านล่างคือคำแนะนำเกี่ยวกับการบริหาร bankroll สำหรับผู้เล่นที่พึ่งพารายได้ส่วนใหญ่จากโป๊กเกอร์ หากเป็นผู้เล่นมือสมัครเล่นที่มีรายได้หลักมาจากทางอื่น อาจใช้กลยุทธ์ bankroll ในเชิงรุกได้มากขึ้น (เตรียมไว้น้อยลง) ตราบเท่าที่ไม่พยายามเล่นเกินตัว)

ทัวร์แบบ FREEZEOUT

ควรจะลงทะเบียนสายเมื่อไหร่ : เหลือ 40bb หรือมากกว่านั้น

bankroll ที่ควรมี : 150-300 buy-ins

ข้อมูลเพิ่มเติม : โดยปกติแล้วทัวร์แบบ Freezeouts จะเป็นทัวร์ที่มีความผันผวนต่ำที่สุด เพราะไม่มีการสมัครเข้าแข่งซ้ำ ไม่ห้ามสมัครใหม่ ทำให้เป็นการเล่นแบบมาตรฐานมากกว่าทัวร์แบบอื่น  

ทัวร์แบบ PROGRESSIVE KNOCK OUT

ควรจะลงทะเบียนสายเมื่อไหร่ : เหลือ 50bb หรือมากกว่านั้น

bankroll ที่ควรมี : 300-400 buy-ins

ข้อมูลเพิ่มเติม : เมื่อเราเล่นทัวร์แบบ PKOs มันจำเป็นต้องรับความผันผวนที่สูงได้ เพราะต้องเน้นล่าค่าหัว ถ้าเรารับไม่ได้ ก็ไม่ควรเล่นทัวร์ประเภทนี้ PKOs จะมีโครงสร้างคล้ายกับ freezeouts ที่จะมี stack เริ่มต้นใหญ่กว่าและมี blind ที่ยาวนานกว่า แต่การล่าค่าหัวเป็นอีกวิธีในการหากำไร ทำให้เราต้อง call ให้บางสถานการณ์ที่เรารู้ว่าเรามีโอกาสน้อยกว่า 40% ที่จะชนะใน hand นั้น 

ทัวร์แบบ TURBO

ควรจะลงทะเบียนสายเมื่อไหร่ : ตั้งแต่เริ่มต้น

bankroll ที่ควรมี : 400-500 buy-ins

ข้อมูลเพิ่มเติม : Turbo คือทัวร์ที่มีความผันผวนสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 จากโครงสร้าง blind ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะมีการเล่นแบบ all-in บ่อยมาก เพราะ blind เพิ่มขึ้นเร็วมาก และ stack เล็กลงเร็วมาก

ทัวร์แบบ HYPER

ควรจะลงทะเบียนสายเมื่อไหร่ : ตั้งแต่เริ่มต้น

bankroll ที่ควรมี : 500 buy-ins ขึ้นไป

ข้อมูลเพิ่มเติม : Hypers คือทัวร์ที่มีความผันผวนสูงที่สุด stack เริ่มต้นของทัวร์แบบ hyper มักจะมีขนาดเล็ก และ blind ก็ขึ้นเร็วยิ่งกว่าแบบ turbo ควรจะเล่นทัวร์แบบ hyper เฉพาะเมื่อเราสามารถเตรียม bankroll ได้มากกว่าปกติ

ลงทะเบียนสายจนเมื่อใกล้เวลา ITM

คำแนะนำข้างต้นเป็นประเด็นที่ดี แต่มีตัวแปรอีกตัวหนึ่งที่อาจจะทำให้เราอยากลงทะเบียนทัวร์นาเมนต์ให้สายที่สุดเท่าที่ทำได้

นั่นคือตัวแปรเรื่อง ICM โดยเฉพาะเมื่อเรายิ่งอยู่ใกล้ช่วง money bubble ลองดูตัวอย่างข้างล่าง

สมมติมีทัวร์นาเมนต์ออนไลน์ทัวร์หนึ่งที่มีผู้เล่น 1,000 คน และจะมีคนที่ได้เงินรางวัลเพียง 100 คน เวลาปิดลงทะเบียนคือช่วงที่เหลือผู้เล่นอยู่เกือบๆ 140 คน

ในสถานการณ์แบบนี้ การลงทะเบียนสาย อาจจะสร้าง value ให้เราได้มากกว่า เพราะเราเพียงเอาชนะอีกแค่ 40 คน เราก็จะได้เงินรางวัลแล้ว โดยอาจจะแค่ขโมย blind ได้ 1 หรือ 2 ครั้ง หรือ double up ให้ได้สักครั้ง ก็อาจจะเพียงพอให้เราเข้าไปอยู่จุดนั้นได้

stack ของเราอาจจะ short มากๆในตอนที่ลงทะเบียน เช่น อาจจะเหลือเพียงแค่ 5bb ขึ้นอยู่กับแต่ละไซต์ ดังนั้น ความผันผวนในสถานการณ์ของการลงทะเบียนสายแบบนี้จะค่อนข้างสูง และเรามักจะถูกเขี่ยตกรอบไปก่อนเป็นส่วนใหญ่

แต่ถ้าเรารู้สึกโอเคกับความสวิงของ bankroll และเล่น short stack ได้เก่ง ก็อาจจะลองลงทะเบียนในสายที่สุดดูได้ อย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นวิธีการเล่นทัวร์นาเมนต์ออนไลน์ที่สนุกและตื่นเต้นดี

คำแนะนำจาก Daniel McAuley โค้ชของ Upswing

ประเด็นเรื่องการลงทะเบียนสาย ถูกโพสต์ไว้ในกรุ๊ปของ Upswing บนเฟสบุ๊ค และมี Daniel McAuley ซึ่งเป็นโค้ชของ Upswing มาตอบให้ ลองดูคำตอบแบบเต็มๆได้ตามด้านล่างนี้ :

“ขึ้นอยู่กับ ROI และ bankroll ของเรา”

“ยิ่งเรามี ROI ในการเล่น MTT ต่ำเท่าไหร่ เรายิ่งต้องเตรียม buy-ins ใน bankroll ของเราให้มากขึ้นเท่านั้น”

 “เมื่อเราเข้าไปเล่น MTT ในตอนเริ่มต้นโดยเรามี deep stack ทำให้มีโอกาสได้กำไร bb/100 สูงขึ้น และยังมีพวกฟิชอยู่อีกมาก เพราะพวกนี้จะตกรอบเร็วกว่าขาประจำ ถ้าเราตกรอบเร็ว เราควรสมัครเข้ามาเล่นใหม่ตลอด เพราะมันไม่มีความแตกต่างในเรื่องของ ROI ถ้าเราสมัครเล่นคนแรก เราก็ควรสมัครเข้าไปเล่นใหม่ได้ทันที”

“แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อเรามี 20bb เวลา สมัครเล่น MTT ตอนสาย มันจะทำให้เรามี ROI ที่ต่ำลงมากๆ เพราะความผันผวนมันสูงขึ้นมากๆ เราเลยอาจจะต้องมี buy-ins มากกว่าปกติ 2-3 เท่า เพื่อให้เป็นการลงทุนที่ดี ภายในการบริหาร bankroll ที่เหมาะสม”

“นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้เล่นเก่งๆถึงสมัครเข้าแข่งแบบไม่จำกัด เมื่อเขามี bankroll ขนาดใหญ่ เพราะเขาสามารถจ่ายเงินค่าสมัครในสถานการณ์ที่ ROI ต่ำมากๆได้บ่อยๆ ดังนั้น การสมัครเข้าแข่งใหม่ได้ทุกครั้งจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้เล่นที่มีเงินเยอะๆ”

“ตัวแปรอื่นๆอาจจะเป็นเรื่องของจำนวนโต๊ะที่เราเล่น หรือเป็นทัวร์ล่าค่าหัวรึเปล่า ถ้าเป็นทัวร์มีค่าหัว การเล่น short stack จะแย่กว่าทัวร์ MTT ปกติ เพราะเราจะถูกบีบให้เล่น tight ขึ้น ผมต้องระมัดระวังในการสมัครเข้าแข่งทัวร์ค่าหัวใหม่ให้มากกว่าปกติเพราะมันยิ่งมี ROI ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับทัวร์ MTT แบบปกติ”

สรุปแนวคิด

ถ้าเรากำลังตัดสินใจจะเป็นนักเล่นทัวร์นาเมนต์แบบเต็มเวลา เราควรจะต้องระมัดระวังให้มากๆ การบริหาร bankroll คือเรื่องส่วนตัวที่ต้องจัดการ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมด้านอื่นๆ

เรายังต้องคำนึงถึงเรื่องความผันผวน ที่เราต้องเผชิญเมื่อเราสมัครแข่งตอนสายแล้วต้องเล่นแบบ short stack นั่นคือเหตุที่ทำไมเราถึงต้องมีส่วนที่แนะนำการบริหาร bankroll มาให้ ว่าควรจะมีมากน้อยเท่าไหร่ ในบทความนี้

https://upswingpoker.com/late-registering-mtt/