3 สถานการณ์ที่เราสามารถหา value จาก hand ที่เป็น Over Card ของเราได้

เราก้มมองไพ่ของเรา

เราเห็นว่าเรามี hand สูงๆดีๆอย่าง KQ, QJ หรือแม้แต่ AK เราเลย raise และมีคน call ตามมา 1 หรือ 2 คน

แต่เราไม่ติดอะไรเลยบน flop ซึ่งน่าเศร้าพอสมควร

แต่เดี๋ยวก่อน! มันอาจจะยังไม่จบแค่นั้น!

ในบทความนี้ จะมีบางสถานการณ์ที่ overcard hand ของเรายังพอจะมี value ที่ดีอยู่ ซึ่งผมจะพาไปดู 3 สถานการณ์ที่เข้าเกณฑ์ที่ว่ามากัน

สถานการณ์ที่ #1

สถานการณ์ : เป็นการเล่น heads-up, single-raised pot (pot ที่ไม่มีการ re-raise) ใน flop ที่ไม่มีเลขเรียงกัน และเรา IP หลังจาก raise preflop

ตัวอย่าง : เรา raise จาก BTN และมีผู้เล่นคนเดียว call มาจาก BB และ flop ออกมา J♦ 6♣ 2♥

เราต้องเข้าใจว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะไม่มีใครติดอะไรที่ flop ซึ่งจากสถิติแล้ว เวลา heads-up กัน มักจะมีโอกาสไม่ติดอะไรที่ flop ประมาณ 50% ทั้งคู่

ลองดูจากภาพข้างล่างในสถานการณ์ที่ calling range ของ BB เจอกับ BTN ว่าโอกาสที่จะมี made hand โดยเฉลี่ยเป็นเท่าไหร่

flopzilla breakdown of how often a range (with some overcards and some pairs) hits a flop

ภาพของ range ทางซ้ายมือมีโอกาสจะติด flop ประมาณ 39.7% โดยเฉลี่ย ส่วนพื้นที่ทางขวามือจะแสดงรายละเอียดของ hand ที่ติด flop ว่ามีอะไรและมีโอกาสเท่าไหร่บ้าง

ดังนั้น จะมีบาง board ที่ช่วยให้ range เราติดอะไรได้เยอะกว่าอีกบาง board ส่วน board ที่ไม่มีเลขเรียงกัน มักจะอยู่ในกลุ่ม “board ที่แทบจะไม่ติดอะไร” อยู่แล้ว

การที่ flop จะเข้าเกณฑ์ board แบบนั้น flop นั้น ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข 2 ข้อ :

  1. ไพ่ที่ใหญ่ที่สุด 2 ใบ ต้องไม่มีโอกาสทำให้มี straight หรือ gutshot draw
  2. ต้องไม่มีดอกใดเหมือนกันเลย

board ที่ไม่เชื่อมกัน (Disconnected board) แบบนี้ มันจะเป็น flop ประเภท :

  • J♦ 6♣ 2♥
  • Q♥ 7♦ 3♣
  • K♣ 8♥ 4♦
  • T♠ 3♣ 2♥

ลองดูโอกาสที่ calling range ของ BB เจอกับ BTN ได้ว่ามีโอกาสติดอะไรใน flop J♦ 6♣ 2♥ มากแค่ไหน :

flopzilla breakdown of how often a range (with some overcards and some pairs) hits a j-6-2 flop

ภาพของ range ทางซ้ายมือจะติดอะไรใน flop  J-6-2 แค่ประมาณ 36.2%

range นี้จะไม่ติด flop บ่อยกว่าอีก range ประมาณ 3% ซึ่งโป๊กเกอร์เป็นเกมแห่งข้อได้เปรียบเล็กๆ ทำให้ 3% ถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมหาศาล

ด้วยเหตุนี้ การ bet กับ board แบบนี้ด้วย hand อย่าง A3o, KQ, Q8s คือสิ่งที่เราควรจะทำในทุกๆครั้ง!

สถานการณ์ที่ #2

สถานการณ์ : เป็นการเล่น heads-up, 3-bet pot ที่เรา OOP หลังจาก 3-bet ของเราโดน call

ตัวอย่าง : ผู้เล่นตำแหน่ง BTN raise มา เรา 3-bet จาก SB และ BTN call

ในสถานการณ์นี้ ปกติ range ของเราจะ strong กว่าคู่แข่ง เลยเปิดโอกาสให้เราเล่นได้ aggressive มากกว่า มันอาจจะไม่สำคัญมากนักว่าจะติด board แค่ไหน เพราะส่วนใหญ่แล้วเรามักจะมี equity advantage (equity เฉลี่ยทั้ง range สูงกว่าคู่แข่ง) มากกว่าคู่แข่ง จากการที่มี preflop range ที่ดีกว่า 

ลองดูผลลัพธ์ที่ solver แนะนำ จาก flop 9♠ 8♠ 3♦ หลังจาก BTN เปิดแล้ว call 3-bet ของ SB ซึ่ง PioSolver แนะนำว่า SB ควรเล่นที่ flop ตามนี้ :

all overcard hands bet at a high frequency on 983ss (according to piosolver)

ทุก hand ต้อง bet บ่อยๆมากใน flop 983 ที่เป็น 3-bet pot (bet ⅔ pot) รวมถึง hand ที่เป็น Overcard ด้วย 

Solver ชอบที่ bet hand ที่เป็น Overcard ทุก hand แม้ flop จะค่อนข้างมีอะไรเชื่อมกันก็ตาม เนื่องจาก range ของเรามี equity โดยเฉลี่ย 56% ใน baord นี้ เมื่อเจอกับ 3-bet calling range ของ BTN

สถานการณ์ที่ #3

สถานการณ์ : เป็นการเล่น heads-up, 3-bet pot ที่เรา IP หลังจาก 3-bet ของเราโดน call

ตัวอย่าง : ผู้เล่นในตำแหน่ง CO raise มา เรา 3-bet กลับไปที่ตำแหน่ง BTN แล้ว CO call

สถานการณ์นี้ก็คล้ายกับตอนเรา OOP ใน 3-bet pot โดยมีตัวแปรที่ส่งเสริมเหมือนกัน นั่นคือเรามี  range advantage เกือบจะทุก flop ที่จะจินตนาการได้

range ของเรามีได้ทั้ง overpair, บาง set รวมถึง 2 pair (ขึ้นอยู่กับแต่ละ flop) ขณะที่ range ของคู่แข่งเราส่วนใหญ่จะประกอบด้วย hand พวก bluff-catcher, overcard ที่ไม่ติด board โดยมีโอกาสติด set และ 2 pair อยู่บ้าง แต่ก็น้อยกว่าเรา (ขึ้นอยู่กับแต่ละ flop อีกเหมือนกัน)

แม้ hand ที่เป็น overcard 1 หรือ 2 ใบของเราจะถูก call หลังจากที่เรา c-bet เราก็ยังคงมี equity อยู่พอสมควร และมีข้อได้เปรียบในเรื่องของตำแหน่งด้วย ทำให้เราสามารถเลือกที่จะ check back ถ้าไพ่ที่ออกมาตอน turn ไม่ได้ช่วย range หรือ hand ของเราเท่าไหร่

ด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้ ทำให้การ c-bet ด้วย overcard ของเรา มีโอกาสได้กำไรมากกว่า เมื่อเรา IP ใน 3-bet pot ที่เราเป็นคน 3-bet

ลองดูผลลัพธ์ที่ solver แนะนำ จาก flop 7♣ 3♦ 2♠ หลังจาก CO เปิดแล้ว call 3-bet ของ BTN ซึ่ง PioSolver แนะนำว่า BTN ควรเล่นที่ flop หลังจาก CO check มา ตามนี้ :

all overcard hands bet at a high frequency on 7-3-2 (according to piosolver)

ทุก hand ต้อง bet บ่อยมากๆใน flop 7-3-2 (⅓ pot) รวมถึง hand ที่เป็น overcard

เช่นเคย คนที่เป็น aggressor (คน raise คนสุดท้าย) จะมีข้อได้เปรียบได้ board แบบนี้สูงมาก โดยมี equity เกือบ 56% เมื่อเจอ 3-bet calling range จาก CO ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ BTN สามารถด้วยขนาด bet ⅓ pot กับทุก hand ใน range ได้โดยมีโอกาสได้กำไรสูง

สรุปแนวคิด

hand ประเภท overcard จะมี EV น้อยมากๆในบางสถานการณ์ แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่อยากชนะด้วย hand เหล่านี้ให้มากเท่าที่เป็นไปได้ การเล่นแบบรัดกุมด้วย overcard ในสถานการณ์ทั้ง 3 ที่ว่ามา อาจจะทำให้เราเสียเงินเมื่อเล่นบ่อยๆแทน

แค่ระวังอย่า bet ต่อเนื่องบ่อยเกินไป ถ้า turn ออกมาไม่ช่วยอะไรเราเลยก็พอ

https://upswingpoker.com/when-to-play-overcards/