Game Tree ของโป๊กเกอร์คืออะไร และมันสำคัญยังไง?

การเรียนรู้โป๊กเกอร์ เป็นกระบวนการที่มีลำดับขั้น

เราเริ่มจากการเรียนรู้เรื่อง ความแข็งแกร่งของแฮนด์ แล้วก็เล่นโป๊กเกอร์โดยไม่ได้สนใจตัวแปรอื่นมากนั้น หลังจากนั้น เราก็เริ่มคิดถึงตัวแปรอื่นมากขึ้น เช่น board texture และ range แต่เมื่อเราเริ่มที่จะเป็นผู้เล่นระดับแอดวานซ์ เราจะเริ่มมองเกมในมุมที่ต่างออกไป

ผู้เล่นระดับสูงที่มีความเชี่ยวชาญ จะมองการเล่นในภาพรวมขนาดใหญ่ ในมุมมอง birds-eye view ของเกมทั้งเกม หรือพูดได้ว่า พวกเขาจะทำตัวเองให้คุ้นเคยกับภาพรวมของ  “game tree” (เกมทรี) ทั้งเกมของโป๊กเกอร์นั่นเอง

ถ้าเราไม่คุ้นเคยกับคำว่า game tree ก็ไม่ต้องกังวลไป บทความนี้เขียนเพื่อที่จะช่วยเชื่อมความเข้าใจในช่องว่านั้น เพื่อให้เราได้เริ่มมองโป๊กเกอร์แบบเดียวกับผู้เล่นที่เก่งที่สุดของโลกได้

มาลงรายละเอียดกัน

Game Tree คืออะไร?

โป๊กเกอร์เป็น เกมที่มีลำดับขั้น (เช่นหมากรุก หรือ เอ็กซ์โอ) ซึ่งตรงข้ามกับ “เกมที่ต้องเล่นพร้อมกัน” (เช่น เป้ายิงฉุบ) นั่นแปลว่า มีผู้เล่นแค่คนเดียวที่จะได้เล่นในแต่ละตา

คุณสมบัติของเกมที่มีลำดับขั้นนั้น คือการที่ผู้เล่นจะมีข้อมูลของการเล่นลำดับก่อนหน้า ยกเว้นคนที่เล่นก่อนเป็นคนแรกของเกม ซึ่งนี่คือรากฐานของ “ความได้เปรียบจากตำแหน่ง” ในเกมที่มีลำดับขั้นทั้งหลาย (รวมถึงโป๊กเกอร์) นั่นก็คือ ถ้าเราได้เล่นทีหลัง เราจะได้เปรียบในเรื่องการมีข้อมูลที่มากกว่า 

เกมที่มีลำดับขั้น สามารถแสดงได้ในรูปแบบที่เรียกว่า “รูปแบบการแตกแขนง” หรือที่รู้จักกันในนาม “game tree” นั่นเอง game tree คือกราฟ ที่มี “node (จุด) ต่างๆ ที่แสดงถึงตำแหน่งในเกม” และ “เส้นที่แสดงถึงการเล่นที่เป็นไปได้” ลองดูตัวอย่างจากส่วนหนึ่งของการเล่น เอ็กซ์โอ ได้จากภาพนี้ :

tic tac toe game tree segment

ส่วนหนึ่งของ game tree ของเกมเอ๊กซ์โอ

game tree ของโป๊กเกอร์ คือ แนวคิดเชิงนามธรรมที่ ผู้เล่นโป๊กเกอร์ระดับสูงนำมาใช้ เพื่อจะได้เข้าใจแนวทางที่ดีที่สุดในการพัฒนากลยุทธ์การเล่นของตัวเอง ความเข้าใจนี้จะช่วยให้พวกเขา มี expected value (EV) จากการเล่นที่มากขึ้นกว่าคู่แข่งได้

Game Tree หน้าตาเป็นยังไง?

game tree มีหน้าตาประมาณนี้ (รอก่อน เดี๋ยวผมจะอธิบายว่ามันคืออะไร)

poker game tree

ภาพของ game tree ในการเล่น No Limit Hold’em Heads-up (จากคอร์ส Advanced Heads-Up Mastery course ของ Doug Polk’s)

ในแต่ละจุดที่ต้องตัดสินใจ เราจะเรียกว่า “node” ที่จะแตกแขนงออกเป็นสาขาใหม่ได้หลายสาย (แต่ละสายก็จะมีทางเลือกของตัวเอง เช่น bet หรือ check) ซึ่งสายเหล่านี้ก็สามารถแตกแขนงเป็น node ใหม่ต่อไปได้อีก ถ้าเรามองจากบนลงล่าง มันอาจจะมีหน้าตาคล้ายกับต้นไม้ เราถึงเรียกมันว่า game tree 

tree จะเริ่มจากการเล่นที่ preflop ที่ผู้เล่นจะมีทางเลือก 3 ทาง คือ fold, call หรือ raise 

ตัวอย่างเช่น ถ้าเลือกที่จะ raise ผู้เล่นคนถัดมาก็เลือกได้ว่าจะ fold, call หรือ re-raise และผู้เล่นแต่ละคนที่เหลือ ก็สามารถเลือกที่จะ fold, call หรือ re-raise ต่อไปได้เรื่อยๆเช่นกัน

9 handed poker game tree preflop nodes

node แรก ในช่วง preflop จะสร้าง game tree ได้ถึง 9 แฮนด์

เมื่อการเล่นที่ preflop จบลง ก็เป็นการเล่นช่วง flop และผู้เล่นแต่ละคนก็สามารถเลือกได้ว่าจะ fold, check, call หรือ bet/raise

จะเห็นได้ว่าเราสามารถสร้าง tree ได้ลึกลงไปได้อีกมากๆ (ตั้งแต่ preflop -> flop -> turn -> river) ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งทั้งหมด เริ่มต้นจาก node แรกของผู้เล่น 1 คนที่มีทางเลือก 3 ทางเท่านั้น

ยิ่งเราเพิ่มตัวแปรเรื่อง ความเป็นไปได้ของการ bet ขนาดต่างๆ เพิ่มเข้ามาอีก tree ก็จะยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเป็นทวีคูณยิ่งกว่าเดิม 

Game Tree มีความสำคัญกับโป๊กเกอร์ยังไง?

ความเข้าใจในเรื่องของ game tree ด้วยตัวของมันเองนั้น ไม่ได้มีประโยชน์ในทางปฏิบัติมากเท่านั้น งั้นทำไมมันถึงสำคัญล่ะ?

เมื่อนำหลักการของ game tree มารวมกับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี และพัฒนาการของ ซอฟต์แวร์ ต่างๆ ทำให้ solver ของโป๊กเกอร์ ถือกำเนิดขึ้น 

game tree ทำให้เราเข้าใจหลักคิดที่เป็นตรรกะในเกมโป๊กเกอร์ ซึ่งซอฟต์แวร์ (อย่าง PioSolver) สามารถช่วยคำนวณได้ โดยมันจะใช้ game tree ในการทดสอบกลยุทธ์ที่ผู้เล่นแต่ละฝ่ายนำมาใช้ต่อสู้กัน จนกระทั้งถึงจุดที่เป็น Nash equilibrium

Nash equilibrium ชุดของกลยุทธ์ที่ไม่มีผู้เล่นง่ายไหนจะสามารถเบี่ยงออกจากกลยุทธ์นี้เพื่อหา EV เพิ่มได้อีก 

หรืออีกนัยหนึ่งคือ ถ้ามีใครที่เล่นกลยุทธ์ที่จุดดุลยภาพนี้ ผู้เล่นอีกฝ่ายก็จำเป็นต้องเล่นกลยุทธ์ที่จุดดุลยภาพนี้เช่นกัน เพราะกลยุทธ์อื่นจะส่งให้คนที่เล่น เสีย EV ให้อีกฝ่ายนั่นเอง

คำอธิบายเพิ่มเติม : เราอาจจะเคยได้ยินกลยุทธ์โป๊กเกอร์ที่เป็น Nash equilibrium ที่มักจะนิยมเรียกกันในชื่อว่า game theory optimal (GTO)

กล่าวคือ ถ้าฝ่ายไหนที่ไม่ได้เล่นกลยุทธ์ที่จุดดุลยภาพ อีกฝ่ายก็จะสามารถ deviate (เบี่ยง) ออกจากกลยุทธ์ที่จุดดุลยภาพนี้ เพื่อที่จะเพิ่ม expected value ของตัวเองได้

ซึ่งนี่เป็นกรณีสำคัญในเกมโป๊กเกอร์ เพราะไม่มีผู้เล่นโป๊กเกอร์คนไหน ที่จะสามารถใช้กลยุทธ์ที่อยู่ในจุดดุลยภาพได้อย่างแท้จริง แม้แต่ผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลก ก็ทำได้แค่พยายาม (ให้เล่นถึงจุดนั้นได้) เท่านั้น

การนำไปใช้ในทางปฏิบัติ

ลองคิดว่า กลยุทธ์ของเราตลอดทั้ง game tree จะช่วยให้เรากำจัดจุดอ่อนที่อาจจะสามารถถูก exploit ได้ และเกื้อหนุนวิธีการเล่นในภาพรวมของเราได้อย่างไร  

ลองตอบคำถามนี้ดู :

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทุกการตัดสินใจในเกมโป๊กเกอร์ของเรา ขึ้นอยู่กับไพ่ในมือ และไพ่บน board เท่านั้น โดยไม่สนใจผลที่ตามมาที่เป็นไปได้ของ game tree เลย?

คำตอบ : เราจะกลายเป็นคนที่ถูก exploit ได้ง่ายมากๆ เพราะกลยุทธ์ของเรามี leak (รอยรั่ว)

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเรา c-bet ที่ flop 100% ทุกครั้งที่มี  flush draw และ straight draw และจะ check back กับแฮนด์กลางๆอย่างเดียว ถ้าเราสร้าง c-bet range ด้วยวิธีนี้ จะทำให้ check-back range ของเราอ่อนแอมากๆ เพราะเราจะไม่มี flush และ straight เมื่อ board ตกไพ่ที่ complete draw เหล่านั้นอย่างแน่นอน

ถ้าผู้เล่นที่มีความรู้ จับจุดอ่อนนี้ได้ เขาก็สามารถใช้ bet size ขนาดใหญ่ เพื่อ exploit การที่เราไม่มี flush หรือ straight ใน range ของเราได้

หรือเขาอาจจะใช้ value bet ขนาดเล็ก รวมกับการเพิ่มความถี่ในการ bluff เพื่อเพิ่ม EV ได้อย่างมหาศาล จากการจ่ายของเรา เช่นเดียวกัน

what is a capped range in poker

บทความแนะนำอ่านเพิ่มเติม : Capped Range คืออะไร?

จากการใช้หลักการที่มีตรรกะนี้ของเกม คนที่นำ game tree มาใช้เป็นคนแรกๆค้นพบว่า มันคือเครื่องมือที่น่ามหัศจรรย์ ที่ใช้หา leak ของคู่แข่งในแต่ละ node และเมื่อเจอ leak เหล่านั้น ก็สามารถสร้างกลยุทธ์การตอบโต้เพื่อที่จะ exploit พวกเขาได้

สรุป

เราจะสามารถเอาชนะผู้เล่นในเกมระดับเล็กโดยไม่ต้องสนเรื่อง game tree ได้ไหม? ได้แน่นอน!

แต่เราจะสามารถเอาชนะผู้เล่นในเกมระดับกลาง-สูงบนโลกออนไลน์โดยไม่ต้องใช้กลยุทธ์ที่สร้างจากรอบความรู้นี้ได้ไหม? ไม่ได้แน่ๆ!

หวังว่าบทความนี้จะช่วยเปิดโลกให้เราเห็นภาพรวมของเกมโป๊กเกอร์ในมุมมองใหม่ได้กว้างขึ้นกว่าเดิม

https://upswingpoker.com/poker-game-tree/