Capped Range คืออะไร? และจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ยังไง?

เราอาจจะรู้กันอยู่แล้วว่า range คือจำนวน hand ทั้งหมดที่ผู้เล่นคนหนึ่งจะมีได้ในสถานการณ์หนึ่งๆ

และเราก็อาจจะพอรู้ว่า การโฟกัสที่ range ไม่ใช้ hand ใด hand หนึ่ง คือแนวทางที่นักเล่นมืออาชีพใช้กัน

แต่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกับแนวคิดเรื่อง capped range มากนัก

ถ้าเรารู้ว่า capped range คืออะไร และมันมีผลกับกลยุทธ์ของเราอย่างไร มันจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรให้เราได้อย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะมาศึกษากันในตอนนี้

capped range คืออะไร?

capped range คือ range ที่ไม่มี strong hand เช่น  overpair, 2 pair, set, straight, flush และอื่นๆ (หรืออาจจะมีน้อยมากๆ)

เพื่อให้เห็นภาพ เราจะมาดูกันที่ hand ตัวอย่างนี้ :

แคชเกมออนไลน์ $1/$2 ผู้เล่น 6 คน Effective Stack $200

Hero อยู่ที่ BB ถือ K♥ 8♥

UTG folds MP raise มา $5 อีก 3 ถัดมา folds Hero call

Flop ($11.00): 9♠ 5♦ 3♠

Hero check MP check

ช่วง preflop ผู้เล่นที่ตำแหน่ง MP จะมี range ที่น่าจะมีหน้าตาประมาณนี้ :

un-capped range

แต่เมื่อเขา check back กลับมา เราสามารถตัด hand ส่วนใหญ่ที่ใหญ่กว่า top pair ออกไปได้ เพราะ hand เหล่านั้นน่าจะต้อง value bet ที่ flop ไปแล้ว (ถ้าสมมติฐานคือ เราเล่นกับผู้เล่นที่เล่นแบบตรงไปตรงมา) และ range หลังจากที่เขา check ที่ flop อาจจะเหลือประมาณนี้ :

capped range

แถบสีเขียวและสีชมพูที่อยู่ใต้ hand แสดงถึงจำนวน combo ที่ลดลงของแต่ละ hand ไป 50%

ผมได้ตัด combo ของ overcard และคู่กลางๆออกไปครึ่งหนึ่ง เพราะเขาอาจจะ bet กับ hand เหล่านั้นในบางครั้ง ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การ c-bet ของเขา

จาก range นี้ เราจึงสามารถบอกได้ว่า range ของ MP ถูก capped ไว้สูงสุดแค่ hand ที่เป็น 1 pair เท่านั้น

capped range สำคัญยังไง?

capped range เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะมันมีส่วนกำหนด กลยุทธ์การเล่นที่ optimal

เมื่อ range ของคู่แข่งเราถูก capped เราจึงสามารถ bet size ไหนก็ได้ที่เป็นประโยชน์กับ hand ของเรามากที่สุด โดยไม่ต้องกังวลว่าจะโดนลงโทษมากเท่าไหร่

เหตุผลก็เพราะเมื่อ range ของผู้เล่นถูก capped เขาก็ไม่สามารถจะแสดงว่าเขามี strong hand ได้อย่างน่าเชื่อถือมากพอ และไม่สามารถลงโทษเราด้วยเล่นแบบ aggressive โดยการ raise ได้ 

ดังนั้น เราจึงสามารถ bet ด้วยขนาดเล็กๆ กับ hand กลางๆของเราที่ไม่เหมาะจะ bet ใหญ่ เพื่อป้องกันเราจากการถูก bet ใหญ่ได้ และเรายังสามารถกดดัน capped range ของเขาได้ โดยใช้กลยุทธ์การ overbet หนักๆใส่ไปเลย 

โน้ตว่า ไม่ว่าเราจะใช้ bet size ขนาดอะไร เราต้องมี strong hand รวมอยู่ใน betting range ของเราด้วย เพื่อป้องกันโอกาสที่คู่แข่งจะ raise ไม่อย่างนั้น เขาก็สามารถ raise ใส่เราเพื่อทำกำไรได้ โดยเฉพาะเมื่อเราใช้ขนาด bet เล็ก

กลับไปที่ตัวอย่างเดิม :

แคชเกมออนไลน์ $1/$2 ผู้เล่น 6 คน Effective Stack $200

Hero อยู่ที่ BB ถือ K♥ 8♥

UTG folds MP raise มา $5 อีก 3 ถัดมา folds Hero call

Flop ($11.00): 9♠ 5♦ 3♠

Hero check MP check

ไม่ว่า turn จะออกมายังไง range ของเรายังมี combo ของ strong hand เป็นจำนวนมาก ขณะที่ range ของคู่แข่งถูก capped ไว้แค่ 1 pair ทำให้เราสามารถ bet เอา value ได้ตามที่ต้องการ ด้วย hand ที่เหนือกว่า 1 pair (hand ที่ใหญ่ที่สุดของคู่แข่ง)

การ overbet มักจะเป็นขนาดที่ดีที่สุดที่ใช้ในสถานการณ์นี้ ด้วยเหตุผล 2 ประการ :

  • มันทำให้เราสามารถเรียก value ได้สูงสุดกับ strong hand ของเรา
  • มันทำให้เราสามารถ bluff ได้หลาย hand มากขึ้น เพราะคู่แข่งจะเจอ pot odds ที่แย่จากการ bet ของเรา

เพื่อให้กลยุทธ์นี้ได้ผล เราต้อง bluff ด้วยจำนวน hand ที่เหมาะสม

ถ้าเรา bluff ไม่บ่อยพอ กลยุทธ์การ bet ใหญ่แบบนี้จะถูกเล่นงานกลับได้ง่าย เพราะคู่แข่งจะสามารถ fold กับ hand ที่เป็น bluff-catcher ทั้งหมด ทำให้เราเรียก value ไม่ได้ 

แต่ถ้าเรา bluff มากพออย่างเหมาะสม จะทำให้คู่แข่งอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากด้วยการ :

  • อยู่ภายใต้ความกดดันจากการ fold มากเกินไป (ซึ่งจะทำให้ bluff ของเรามี +EV สูงมากๆ) 
  • ต้องเล่นแบบระมัดระวัง จากการ call ที่มีความผันผวนสูง (ทำให้ strong hand ของเราเรียก value ได้มาก)

ไม่ว่าจะทางไหนก็ทำให้เขาหัวปั่นได้ทั้งนั้น

เรายังสามารถใช้ประโยชน์จาก capped range ของคู่แข่งได้โดยการ bet เล็กกับ hand กลางๆใน range ของเรา

ถ้าในตัวอย่าง turn ออกมาเป็น 2 เราสามารถ bet 33% ของ pot ด้วย hand อย่าง A5 ทั้งเพื่อ value และ deny equity (การไม่ให้คู่แข่งได้ realize equity ตัวเองด้วยการได้ดูไพ่ฟรี) และเช่นกัน เรายังต้องมี strong hand อยู่บ้างใน range แบบนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูกคู่แข่ง exploit เราได้

จะทำอย่างไร ถ้า range ของเราเป็นฝ่ายถูก capped บ้าง?

เมื่อ range ของเราถูก capped เราก็แค่ต้องพยายามเล่น range ของเราให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้
ถ้าเราถูกกดดันจากคู่แข่งที่อาจจะ bluff เราได้ เราก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับ variance และ call กับ hand ที่สมเหตุผลที่จะ call

แต่ก็มีบางอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อให้ range ของเราถูก capped น้อยลง และมีโอกาสโดน exploit ลดลง ซึ่งอาจจะเป็นคำแนะนำที่มีค่าที่สุดในบทความนี้ นั่นก็คือ…

เมื่อเรา cap range ของตัวเองด้วยการ check เราก็ควร check กับ hand ที่ป้องกันเราจากการถูก capped ด้วยเช่นกัน

hand บางอย่างที่เราควรผสมเข้าไปใน capped range จะขึ้นอยู่กับ board texture เป็นหลัก โดยคำแนะนำคือ :

  • บน board ที่ dynamic (มีโอกาสเปลี่ยนแปลงสูง) อย่างเช่น 9♠ 5♦ 3♠ เราอาจจะต้องใช้ AA เข้าไปผสมใน check ด้วยบางครั้ง นอกจากนั้น เราอาจจะควร check back กับ straight และ flush draw เพื่อให้เราไม่ถูก capped ถ้า turn ของมาแล้วทำให้ draw นั้นติดได้
  • บน board ที่ static (มีโอกาสเปลี่ยนแปลงน้อย) อย่างเช่น Q♠ 9♦ 7♥ เราอาจจะ check back กับ 97 หรือ AA ได้ (เป็นกลยุทธ์ที่ดีในการเจอกับผู้เล่นที่ probe ด้วยการ bet มาแรงๆตอน turn

จำไว้ว่าการหลอกล่อแบบจงใจแบบนี้ จะใช้เล่นเมื่อเจอกับคู่แข่งแบบแข็งๆที่มักจะชอบโจมตีใส่ capped range ของเราเป็นหลัก 

แต่ถ้าคู่แข่งของเราเป็นผู้เล่นที่อ่อน ที่มักจะไม่โจมตี capped range ของเรา ก็ควร bet กับ hand เหล่านี้เป็นหลักโดยไม่ต้อง check เพื่อเน้นเรียก value มากกว่า

สรุปเรื่อง capped range

เราควรต้องคอยสังเกตเรื่อง capped range ไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นเราเองหรือคู่แข่ง เราจะสามารถเรียก EV ได้มากขึ้น เมื่อเราเข้าใจแนวคิดนี้และเริ่มมาปรับใช้ในการ exploit capped range ให้เหมาะสม

https://upswingpoker.com/what-is-a-capped-range/