คำแนะนำ 5 ข้อจากโปร High Stake ในการเล่นเกมระดับ $0.50/$1.00

David “MissOracle” Yan ทำเงินไปได้อย่างมหาศาลจากโป๊กเกอร์

david yan missoracle

วันนี้ เราจะมาช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จเหมือนเขา ด้วยคำแนะนำเล็กๆ 5 ข้อจากตัวเขาเอง ซึ่งมาจากรายการ Play&Explain (เล่นและอธิบาย) ซึ่งเขาได้แสดงทักษะการเล่นในเกม 100NL ($0.50/$1) 6-max Zoom game (แคชเกมที่เปลี่ยนโต๊ะทันทีที่ fold ทุก hand) ให้ดูเป็นตัวอย่าง

คำแนะนำนี้เริ่มตั้งแต่เรื่องพื้นฐานง่ายๆไปจนถึงระดับแอดวานซ์ เรามาเริ่มกันเลย!

คำแนะนำที่ #1: Preflop range เป็นตัวกำหนดวิธีเล่น postflop ที่มีอิทธิพลอย่างมาก

กลยุทธ์ postflop ทั้งหมดทั้งปวง มีพื้นฐานเรื่องที่หนักแน่นจาก range ที่เราเริ่มใช้ตอน preflop

ในรายการ Play&Explai นี้ David Yan เล่น hand  K♣ Q ที่ตำแหน่ง BB โดยเจอการ raise ที่ HJ และเขา call ไป 

แม้จะดูเหมือนเรื่องพื้นๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คนที่ raise เลือกใช้ขนาดการ raise ถึง 4bb ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่กว่าปกติที่เรามักจะใช้กัน (โดยมาตรฐานคือ 2-2.5 เท่าของ bb)

David ชี้ให้เห็ฯว่า เมื่อเจอการ raise ที่ใหญ่ขนาดนี้ แม้แต่การ call ด้วย KQo ก็ยังถือเป็นการตัดสินใจที่ลำบาก

flop ออกมาเป็น J5♣ 2♣ เป็น flop ที่ไม่แย่นักสำหรับ hand ของ David เพราะเขายังมี overcard 2 ใบ มี  backdoor draws หลายอย่าง รวมถึงมี showdown value เล็กน้อยกับ K high แต่ถึงแม้จะมีโอกาสเหล่านั้น David ยังต้อง check-fold ถ้าเจอ c-bet ประมาณ 62.5% 

david yan KQo at 100nl

และนี่คือสิ่งที่เขาอธิบายไว้ :

ในทางทฤษฎีแล้ว เราควรจะเล่นแบบผสมผสานด้วยการ call บางครั้งและ raise บางครั้ง แต่ผมคิดว่า fold น่าจะเหมาะที่สุด (ในสถานการณ์แบบนี้) เพราะคู่แข่ง raise มา 4x ตอน preflop ซึ่งทำให้ range ของเราทั้ง 2 คนต้อง tight ขึ้น

นี่คือประเด็นพิจารณาที่สำคัญ

โดยปกติแล้ว เราควรที่จะ float ด้วย K♣ Q บน flop J♠ 5♣ 2♣ เมื่อเจอการ bet แค่ครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ขนาดของการ bet ตอน preflop ใน hand นี้ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล 

เพราะมันำให้ David ต้อง defend tight ขึ้นตอน preflop เมื่อเจอกับการ raise 4bb ทำให้เขาเข้าไปเล่นใน flop ด้วย range ที่แคบลง (เช่นเดียวกับคู่แข่งของเขา) ทำให้ตอนนี้ KQo กลายเป็น hand ที่อยู่ในกลุ่ม hand ที่ weak ที่สุดใน range  

นี่จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญว่า เราต้องระวัง ไม่ให้เล่นแบบอยู่ในโหมด “ออโต้ไพล็อท” (ทำอะไรเป็นอัตโนมัติ) ในการเล่นโป๊กเกอร์ แต่ต้องพิจารณาว่าการปรับจากการ “เล่นตามมาตรฐาน” เพียงเล็กน้อย จะส่งผลต่อ range ของทั้งเราและคู่แข่งอย่างไร อยู่เสมอ การปรับต่างๆเหล่านี้มักจะส่งผลต่อการเล่นแบบ optimal ตลอดการเล่นที่เหลือของ hand นั้นๆเสมอ

คำแนะนำที่ #2: เมื่อไม่แน่ใจ ให้สุ่ม!

วลีติดปากของ Doug Polk ที่ว่า “เราเลือกได้ทั้ง raise, fold หรือ call” คือมีมที่ใช้ได้จริงในเรื่องนี้ และคำกล่าวนี้ดูเหมือนจะถูกต้องในหลายๆครั้ง

ในบางสถานการณ์ ทางเลือกต่างๆที่เป็นไปได้ อาจจะมีค่าเท่ากัน (หรือใกล้เคียงกัน) 

บางครั้ง สถานการณ์นั้นมันก็ใกล้เคียงกันว่าจะตัดใจแบบไหนก็ได้ และในบางครั้ง hand หนึ่งๆของเราก็อาจอยู่ได้ทั้ง raising range และ calling range ได้เช่นกัน

แต่ถึงแม้จะเลือกทางไหนก็ได้ เราก็ยังต้องเลือกมาสักทางอยู่ดี นั่นคือสถานการณ์ที่เราต้องใช้การสุ่ม เข้ามาในการเล่นของเรา

มีอยู่ hand หนึ่ง David Yan เลือกที่จะ call เมื่อเจอ raise ด้วย K♥ J♠ ที่ BB โดย ที่ flop check กันมาหมด และ David bet ไป 75% ของ pot ที่ turn ซึ่งคู่แข่งก็ call ตามมา

river ออกมา ทำให้ board ทั้งหมดออกมาเป็น J♥ 4♠ 6♦ 2♣ 3♥ และ David ก็ value bet ด้วย top pair ต่อที่ $5.70 ใน pot $11 แล้วโดนคู่แข่ง raise ด้วยสัดส่วนที่เล็กมากๆอย่างรวดเร็ว

kjo hand david yan at 100nl

นี่เป็นสถานการณ์ที่แย่มาๆ ในทางหนึ่ง มันอาจจะมีโอกาสน้อยที่ Villain จะ bluff แต่ในอีกทาง David จำเป็นต้อง call ในบางครั้ง (ประมาณ 25%) เพื่อให้เป็นการ call ที่ได้กำไรในระยะยาว

นี่เป็นแค่หนึ่งในหลายๆสถานการณ์ที่รู้สึกว่า ไม่มีทางเลือกไหนถูกต้องอย่างชัดเจน

ด้วยการใช้กระบวนการสุ่มเข้ามา ทำให้เราสามารถยกภาระการตัดสินใจว่าควรจะเลือกทางไหนกันแน่ ออกไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือก hand นั้นไปผสมใน range ต่างๆ หรือการตัดสินใจในสถาณการณ์แบ 50/50 เราก็ไม่จำเป็นต้องหัวเสียกับเรื่องต่างๆเหล่านี้

“ถ้าเรากำลังสับน เราสามารถใช้เรื่องการสุ่มได้ตลอด” David กล่าว

สามารถอ่าน แนวทางการใช้กลยุทธ์แบบสุ่ม เพื่อรู้วิธีนำมาใช้จริง ได้จากบนความนี้

คำแนะนำที่ #3: เล่นให้บาลานซ์มากขึ้นเมื่อเจอกับผู้เล่นที่ strong และเล่นให้บาลานซ์น้อยลงเมื่อเจอกับผู้เล่นที่ weak

การมี ฐานการเล่นในทางทฤษฎี ที่แน่น เป็นสิ่งที่ดีงามสำหรับโป๊กเกอร์ แต่การรู้วิธีการ ปรับ ออกจากฐานนั้น โดยขึ้นอยู่กับโอกาสการ exploit คู่แข่งของเราได้ ก็เป็นเรื่องทีสำคัญมากเช่นกัน การปรับตัวเพื่อ exploit คู่แข่ง สามารถช่วยเพิ่มอัตรากำไรให้เราได้ ถ้าเราสามารถนำมันมาใช้ได้อย่างเหมาะสมดีพอ

ในวิดีโอ David defend ที่ BB ด้วย Q8o เมื่อเจอ CO raise มา 2bb ซึ่งเป็นการ call ตามมาตรฐานเมื่อเจอกับ min-raise 

flop ออกมาเป็น QT8♣ David check-raise 8bb จากที่โดน bet มา 2bb เขาอธิบายว่า :

เมื่อเจอคู่แข่งที่เก่งกว่า บางครั้งเราก็จะควรแค่ call กับ hand 2 pair ของเรา หรือแม้แต่เราติด straight ก็ตาม เพื่อให้ range ของเราไม่ถูก capped (การที่ range ไม่มี strong hand) เมื่อเรา check-call  

แต่เขาอธิบายว่า เมื่อเราเจอผู้เล่นที่อ่อนกว่า ที่มักจะไม่ค่อยสามารถจะ exploit range ที่ถูก capped ของเราได้ และมักจะไม่ค่อย fold เราก็สามารถใช้กลยุทธ์แบบง่ายๆด้วยการพยายามสร้าง pot ให้ใหญ่ขึ้นด้วย hand ที่ใหญ่ของเราได้ ดังนั้นการ check-raise ในกรณีจึงไม่ใช่เป็นแค่ทางเลือกที่ดี แต่เป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากกว่า 

การปรับตัวแนวนี้ สามารถใช้กับการเล่นตอน preflop ได้เช่นกัน

ในอีกโต๊ะหนึ่งถัดจาก hand Q8 David ถือ AJo ที่ BB เขาเจอ raise จาก SB ซึ่งเป็นผู้เล่นที่ weak 

David อธิบายว่า ถ้าต้องเจอกับผู้เล่นที่เก่งๆ จะเล่น hand นี้ผสมกันระหว่าง call กับ raise แต่ถ้าเจอกับผู้เล่นที่อ่อนกว่า เขามักจะเลือก 3-bet เกือบตลอด เพื่อสร้าง pot ให้ใหญ่ขึ้น (และเพื่อ deny equity กับ hand ที่ดีกว่า)  

คำแนะนำที่ #4: หลีกเลี่ยงการ bluff ที่มากเกินไปที่ river ด้วยการเลือก bluff ให้เหมาะสม

มันง่ายมากๆที่จะเล่นไปถึง river ในเกมโป๊กเกอร์  Texas Hold’em โดยที่ hand ไม่ติดอะไร แต่เราไม่สามารถ bluff ได้ทุกครั้งที่ river เพราะมันเป็นการ bluff ที่มากเกินไป อันเป็นการเล่นที่ผิดพลาดที่จะทำให้เราสูญเสียกำไรในระยะยาว

ตัวอย่างเช่น ใน hand หนึ่ง David เปิดที่ LJ ด้วย KJและเล่นต่อไปจนถึง river บน board 5♣ 3♣ 2 QAโดยทั้งตัวเขาและคู่แข่งที่ call มาจากตำแหน่ง CO เลือกที่จะ check จนถึง river 

ตอนนี้ David ต้องเลือกว่าจะ bluff ดีหรือไม่

ถึงแม้เขาจะมีแค่ K-high แต่ก็ถือว่าเป็น hand ที่ไม่ติดอะไรที่ดีที่สุดที่เขาจะมีได้ 

ยังมี hand ที่ weak ที่ไม่ติดอะไร มากกว่านี้อยู่ใน range ของเขาที่เขาสามารถเลือกมา bluff ได้ทั้งหมด แต่ KJ ยังมีโอกาสที่จะชนะ showdown ใน board นี้อยู่บ้าง เขาจึงเลือกที่จะ check กับ hand นี้และ bluff กับ hand อื่นๆแทน (เช่น JT ซึ่งเป็น hand ที่สมเหตุผลจะ bluff มากกว่า)

เขาใช้หลักการเดียวกันนี้กับอีกไม่กี่ hand ถัดมา เมื่อเขาเปิดจาก HJ ด้วย  AJ  แล้วถูก BB cal David c-bet ต่อที่ flop  KQ♣ Q และ check back ที่ turn  9และ river 5

“ผมยังมีโอกาสชนะ AT หรือ chop (แบ่งเงินกันครึ่งๆ) กับ AJ ด้วยกัน และยังมี hand ที่แย่กว่านี้อยู่ใน range ที่จะ bet ได้” เขาสรุป

คำแนะนำที่ #5: ถ้าเราไม่มี “natural bluff” อยู่ใน range เราจำเป็นต้อง bluff ให้สร้างสรรค์ขึ้น

(จากผู้เขียน : natural bluff คือ hand ที่ bluff ไปตามสัญชาตญาณตามปกติ เช่น hand ที่มี draw หรือ hand ที่ draw ไม่ติด เช่น JT เป็น naltural bluff ในการเล่นทุกรอบของ board KQ375)

บางครั้งเราก็ต้องเจอกับสถานการณ์ที่จำเป็นต้องมี bluffing range อยู่ด้วย 

เมื่อเราไม่มี draw อยู่ใน board หรือใน range ของเรา เราจำเป็นต้องหา bluff อะไรที่มากกว่า “natural bluff” เพิ่มเติมเข้ามา

ใน hand หนึ่ง David ถือ 66 ที่ตำแหน่ง LJ เขา raise BB call และ flop ออกมาเป็น Q♣ J♣ T♣.

board นี้เข้าทาง range ของ David มากกว่า เขาสามารถมี hand ใหญ่ๆได้ทุก hand ซึ่งประกอบไปด้วย

  • Flush
  • Straight
  • Set
  • 2 pair
  • 1 pair+draw

David ตัดสินใจใช้ range ให้เป็นประโยชน์ด้วยการ bet ไป 33% ของ pot ด้วย range ทั้งหมดของเขา ซึ่งรวมไปถึง hand จริงๆอย่างคู่ 6 ด้วย

จากนั้นคู่แข่งก็ call ตามมา และ turn ตกเป็น 4♣ ถึงตอนนี้ hand ส่วนใหญ่ที่ David น่าจะมีอยู่ใน range ของเขาได้คือ 2 pair เป็นอย่างน้อย

66 hand david yan 100nl

แน่นอนว่า David จะต้อง value bet กับการติด flush ที่ strong ของเขาที่ turn ซึ่งเกิดเป็นคำถามว่า เขาควรจะต้อง bluff กับ hand อะไรบ้าง?

ลองหยุดสักพักเพื่อคิดตามก่อน

ซึ่ง David ได้ตอบคำถามนั้นดังนี้ :

อาจจะเป็น hand อย่าง K8s ซึ่งเราอาจจะไม่เล่นตอน preflop ด้วยซ้ำ หรือ Axs บาง hand แต่ไม่ใช่ว่า Ax ทั้งหมดจะเป็น natural bluff ได้ แปลว่าต่อให้ K ออกมาที่ river hand ของเราก็อาจจะไม่ strong พอที่จะ bet เอา value ได้

ดังนั้น มันดูเหมือนว่า ในสถานการณ์นี้เขาควร bet ด้วย hand ที่ไม่มี equity ที่เป็น “unnatural” bluff มากกว่า เพื่อบาลานซ์กับ value range ของเขา David จึงตัดสินใจ bluff ไปด้วย hand ที่เป็นคู่ที่ต่ำกว่า board ที่ไม่มีดอกจิก ทั้งหมด รวมไปถึง hand นี้ของเขาด้วย ซึ่งเขา bet ไป  66% ของ pot และคู่แข่งของเขาก็ fold ทำให้เขาชนะ pot นี้ไป

สรุปเนื้อหา

สรุปแล้ว David “MissOracle” Yan ต้องการให้เราเข้าใจ ดังนี้ :

  1. รู้ว่าทั้งเราและคูแข่งเล่น range อะไรเข้ามาใน flop
  2. สุ่มทางเลือกในการเล่นได้เมื่อไม่แน่ใจ
  3. เล่นในบาลานซ์ขึ้นเมื่อเจอกับผู้เล่นที่เก่งกว่า และลดการบาลานซ์ลงเมื่อเจอกับผู้เล่นที่อ่อนกว่า
  4. หลีกเลี่ยงการ bluff ที่มากเกินไปที่ river โดยเลือก hand มา bluff ให้เหมาะสม
  5. หา bluff อื่นๆมาใช้เมื่อเราไม่มี bluff ที่เป็น draw มากพอ

https://upswingpoker.com/david-yan-100nl-tips/