(Part 2) จังหวะไหนควร Fast-play หรือ Slow-play ดีนะ?

การประเมิน Range

ก่อนที่จะตัดสินใจว่าเราควร fast-play หรือ slow-play นั้น มี 2 สิ่งสำคัญที่เราจะต้องคิดเกี่ยวกับ range ของแต่ละ player:

Hand ของเราดีแค่ไหน?
Range ของเราดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับคู่ต่อสู้?

Hand ของเราดีแค่ไหน?

ตามปกติแล้วเราควรจะ fast-play แทบทุกๆ strong hand ใน range ของเรา เพราะนั่นจะทำให้เราทำกำไรได้สูงสุด และยังเป็นการกดดันคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย (อย่าลืมว่าเราควร balance ด้วยการเล่น bluff บ้างในแบบเดียวกัน)

และยังหมายความว่า บางครั้งเราก็ควรจะ slow-play ด้วย strong hand บ้างเช่นกัน เพื่อเป็นการป้องกันและช่วยให้ calling range ของเราแข็งแกร่งขึ้น มันจะทำให้คู่ต่อสู้ทำกำไรได้ยากขึ้นเวลาที่เราแค่ call แล้วเขาตัดสินใจ bluff อย่าง aggressive

Range ของเราดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับคู่ต่อสู้?

ถ้าคู่ต่อสู้มี range ที่ดีกว่ามาก (หรือเรียกว่า range advantage) เราก็ควรจะ slow-play ด้วย super strong hand แทบทั้งหมดใน range ของเรา ซึ่งคู่ต่อสู้น่าจะใช้ประโยชน์จาก range advantage และมักจะ bet ที่ turn และ river หลังจากที่เรา call ที่ flop และเมื่อถึงตอนนั้นเราค่อยเปิดเผยกับดักด้วยการ raise

ถ้า range ของเราเสียเปรียบคู่ต่อสู้อย่างมาก การ fast-playing ด้วย super strong hand ที่มากเกินไปจะทำให้คู่ต่อสู้ exploit เราได้ด้วย aggressive bluff strategy ใน street หลังๆถ้าเราแค่ call ไป นั่นก็เพราะว่าเราไม่มี super strong hand ที่จะ call การ bet ได้อย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราปกป้อง big blind ด้วย JTo กับ player ที่ raise มาจาก middle position flop เปิดมาเป็น A-K-Q ทำให้เราก็ติด nut straight และจากนั้นคู่ต่อสู้ก็ bet มา

ถึงแม้ว่าเราจะติด nut ไปแล้ว แต่เราควรเลือกที่จะ slow-play ในสถานการณ์นี้เพื่อปกป้อง range อื่นๆของเรา ซึ่งโดยมากจะเป็น marginal hand พวก A-9 หรือ K-T

ถ้าปกติเรามักจะ fast-play ด้วย JT ในตอนนี้คู่ต่อสู้ของเราก็อาจจะ bet ใส่เราอย่างต่อเนื่องที่ turn และ river เพราะไม่คิดว่าเราจะมี nut

Card removal

เวลา Slow-Play หรือ Fast-Playเราอาจจะเคยได้ยินคำว่า “crushing the deck” มาก่อน ซึ่งเป็นการเรียก card removal อีกแบบนึง เรามาลองดูจากตัวอย่างกันดีกว่า

เมื่อเจอการ bet out of position คุณคิดว่าจะเลือก fast-play ด้วย hand ไหนดี?

Pocket 9 บนบอร์ด
Pocket 4 บนบอร์ด

คำตอบที่ชัดเจนก็คือ pocket 4 และเหตุผลก็เป็นเพราะ hand combination นั่นเอง

ถ้าเรามี 9 สองใบอยู่ในมือ ก็มีโอกาสน้อยมากที่คู่ต่อสู้จะมี top pair ด้วยไพ่อย่าง A-9 และก็เป็นไปได้ที่คู่ต่อสู้จากไม่ติดอะไรเลยและจะหมอบถ้าโดน raise

ในเวลาที่เรา check-raise เราต้องการให้คู่ต่อสู้มี top pair เพราะนั่นจะทำให้เขาไม่น่าจะหมอบ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม pocket 4 ถึงเป็น hand ที่ดีมากที่จะ check-raise ในสถานการณ์นี้

เราสามารถ check-raise กับทั้ง 2 hand ก็ได้ แต่เรามักจะทำเงินได้ดีกว่าด้วย pocket 4

สรุปคือ เราควรจะ fast-play มากขึ้นในเวลาที่เราไม่ได้ถือไพ่ที่ต้องการให้คู่ต่อสู้ถืออยู่

ประเมินแนวโน้มของคู่ต่อสู้

เมื่อการตัดสินใจของเรานั้นไม่ชัดเจนว่าควรจะ fast-play หรือ slow-play ดีนั้น แนวโน้มของคู่ต่อสู้สามารถบอกความแตกต่างได้

ถ้าคู่ต่อสู้เป็นพวก calling station แล้วเราไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงกับ top set ดี ก็ให้เราเลือกไปทาง fast-play ในทางกลับกัน ถ้าเจอกับคู่ต่อสู้ที่ aggressive มากๆ เราก็ควรเลือกที่จะ call เพื่อวางกับดัก

ซึ่งจะได้ผลดีต่อเมื่อเราคอยสังเกตคู่ต่อสู้ แม้ในขณะที่เราไม่ได้เล่นอยู่ใน hand

สังเกตคู่ต่อสู้ในทุกๆ hand และพยายามเข้าใจรูปแบบการเล่นของเขากับ big hand..medium hand..และ weak hand ผู้เล่นบางคนไม่สามารถหมอบ top pair (หรือ pair อื่นๆ) ได้ และเราก็ควรจะสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้

เราควรมีการวิเคราะห์คู่ต่อสู้เพื่อเลือก size ในการ raise ถ้าเห็นว่าคู่ต่อสู้มักจะไม่ยอมหมอบ เราก็ควรปรับการ raise ให้ใหญ่ขึ้นกว่าปกติ

ผู้เล่นบางคนอาจจะดีใจสุดๆถ้าสามารถ all-in ที่ flop ได้ด้วยคู่ A หรือคู่ K แม้ว่ามันจะเป็น wet board ให้เรา raise หนักๆเวลาเจอคู่ต่อสู้พวกนี้ แล้วเราจะทำให้พวกเขาเจอกับ bad beat และเสียชิพให้เราจนหมด stack

สิ่งสำคัญก็คือการสังเกตคู่ต่อสู้ และหาวิธีในการสร้าง value ให้ได้สูงสุดเวลามี strong hand

เช่นเดียวกับสถานการณ์อื่นๆในเกม poker มันเป็นเรื่องยากที่จะสรุปอย่างคร่าวๆ แต่ถ้าเรายึดหลักด้วยการ fast-play กับ wet board และ slow-play กับ dry board โดยส่วนใหญ่แล้ว เราก็จะสามารถสร้าง value ได้เกือบจะสูงสุดกับ strong hand ของเรา