rake ในเกมโป๊กเกอร์คืออะไร? และ rake ส่งผลต่อกลยุทธ์ของเราอย่างไร?

Rake คืออะไร?

Rake คือค่าธรรมเนียมที่เก็บโดยผู้ให้บริการเกมโป๊กเกอร์ ถ้าเราเคยเล่นโป๊กเกอร์แบบแคชเกมที่คาสิโน เราอาจจะเคยเห็นดีลเลอร์หยิบชิพออกจาก pot ระหว่างการเล่น ซึ่งชิพเหล่านั้นก็คือ rake ของคาสิโนนั่นเอง

ขอบอกเอาไว้ให้ชัดๆ ยิ่งเก็บ rake เยอะ ยิ่ง ไม่ดี

Rake มีการเก็บอย่างไร?

มีอยู่ 3 วิธีทั่วไปที่ ห้องเล่นไพ่ส่วนใหญ่ใช้ในการเก็บ rake (เรียงจากที่ใช้กันมากสุดไปน้อยสุด) :

1. Pot Rake (เก็บจาก pot)

เป็นวิธีที่ใช้เก็บกันมากที่สุด ส่วนใหญ่แล้ว pot rake จะอยู่ที่ 2.5% ถึง 10% ของ pot ในแต่ละแฮนด์ และส่วนใหญ่จะเก็บจนถึงระดับสูงสุดที่กำหนด (เช่น ไม่เกิน 5bb) แต่ห้องบางห้อง อาจจะกำหนดขนาดของ rake ที่แน่นอนเอาไว้เลย ไม่ว่า pot จะมีขนาดเท่าไหร่ 

บางห้อง ก็อาจจะไม่เก็บ rake จนกว่าจะเปิด flop ดังนั้นถ้าเรา raise preflop แล้วชนะ blind มาได้ เราก็จะได้เงินทั้ง pot เลยโดยไม่เสีย rake ซึ่งเรียกกันว่า “no flop, no drop” (ไม่เปิด flop ไม่ต้องเสีย)

2. Time Collection (เก็บแบบกำหนดเวลา)

Time collection (หรือเรียกอีกชื่อว่า “timed rake” หรือ “table charge”) คือการเก็บ rake ที่ถูกเซตไว้ (ส่วนใหญ่) ให้เก็บทุกครึ่งชั่วโมง ระหว่างเกม ซึ่งการเก็บ rake รูปแบบนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี :

  • Player time : กำหนดจำนวนเงินที่แน่นอนที่จะเก็บจากผู้เล่นแต่ละคน
  • Time pot : กำหนดจำนวนเงินที่แน่นอนที่จะเก็บจาก pot แรกที่เล่นหลังถึงเวลาที่กำหนด

Time rake มักจะใช้กับการเล่นเกมที่ใหญ่ (ประมาณ $10–$20 หรือสูงกว่านั้น)

3. Dead Drop (เก็บจาก BTN)

จำนวน rake ที่แน่นอนจะถูกเก็บที่ตำแหน่ง BTN ในแต่ละแฮนด์ ไม่ว่าใครจะอยู่ตำแหน่งนั้น ซึ่งดีลเลอร์ (คนแจกไพ่) จะเก็บก่อนที่จะมีการแจกไพ่

Rake ส่งผลต่อการตัดสินใจของเราอย่างไร?

ยิ่ง rake สูงขึ้น EV (Expected Value) ของเรายิ่งลดลง

แล้วมันส่งผลต่อการตัดสินใจของเรายังไง? โดยสรุปคือ ยิ่ง rake สูง จะยิ่งบังคับให้เราต้องเล่นโป๊กเกอร์ในสไตล์ที่ tight ขึ้น

นั่นแปลว่า การ call ด้วยแฮนด์ที่ไม่แข็งช่วง postflop จะกลายเป็น fold มากขึ้น นอกจากนี้ มันยังส่งผลต่อ range ตอน preflop เนื่องจากทั้งการ open-raise, call และ 3-bet ที่ไม่ได้แข็งมาก ขึ้นอยู่กับการ value bet, bluff และ call ให้ได้กำไร

ผลที่ตามมาก็คือ เราต้องเล่น preflop และ postflop ให้ tight ขึ้น

สถานการณ์ไหนที่ได้รับผลกระทบจาก Rake มากที่สุด?

โดยทั่วไปแล้วมีอยู่ 2 สถานการณ์ที่ต้องมีการปรับใหญ่ๆในเกมที่มี rake สูงๆ คือเมื่อต้อง call ที่ BB และเมื่อต้อง call 3-bet ต่อจากนี้เราจะมาโฟกัสกันที่ 2 จุดนี้เป็นหลัก

range การ defend ที่ BB

ในส่วนนี้ เราจะพูดถึงกระบวนการการสร้าง range การ defend ที่ BB ให้แข็งแกร่ง เมื่อต้องเจอกับการ raise ในทุกขนาด

คุณสามารถก๊อปปี้กระบวนการนี้เอาไปใช้สร้าง range ของตัวเองเมื่อต้องเล่นเกมที่มี rake ได้

มาลองดูแฮนด์ตัวอย่าง โดยสมมติให้ rake ถูกแคปไว้ไม่เกิน $5 เมื่อเปิด flop (โชคร้ายที่นี่คืออัตราการเก็บ rake ส่วนใหญ่ของห้องเล่นไพ่ในการเล่นไลฟ์)

ที่คาสิโนท้องถิ่น เกม $1/$2 ผู้เล่น 9 คน Effective Stack $200

Hero อยู่ตำแหน่ง BB ถือไพ่ 2 ใบในมือ

5 คนก่อนหน้า fold CO raise มา $8 อีก 2 คน fold Hero…?

ลองคิดก่อนว่า defending range ของ Hero ควรเป็นอย่างไร

กระบวนการเริ่มต้นจากการคำนวณ pot odds ที่เราจะได้รับ (ศึกษาวิธีคำนวณ pot odds ได้ที่นี่) Hero ต้อง call $6 เพื่อเล่นใน pot ที่จะมีเงินรวม $12 หลังเรา call (raise ของ CO$8 + เงินจาก blind $3 + call ของ Hero $6 – rake $5) 

Pot Odds = $6 / $12 = 0.5 = 50% คือ raw equity ขั้นต่ำที่ต้องมี

เนื่องจากบางครั้ง Hero จำเป็นต้อง fold ก่อน river หรือ fold แฮนด์ที่ดีที่สุด ดังนั้นเราอาจจะไม่ได้ realize raw equity ของเราจริงๆ นี่คือสิ่งที่เราต้องจำเอาไว้เมื่อต้อง defend คือเราต้องมี equity มากหรือน้อยกว่า 50% เล็กน้อยโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับบางแฮนด์

อธิบายเกี่ยวกับ Equity Realization อย่างสั้นๆ

แต่ละแฮนด์มีการ  realize equity ที่ต่างกัน

แฮนด์ที่ strong, เชื่อมกัน หรือเป็น suited มักจะได้ realize equity ส่วนใหญ่ เช่น AA, AQo หรือ JTs แฮนด์ประเภทนี้มักจะได้ realize equity มากกว่าโดยเฉลี่ย จากตัวอย่างข้างต้น แฮนด์เหล่านี้สามารถ call อย่างมีกำไรได้โดยมี equity น้อยกว่า 50%

ขณะที่แฮนด์ที่ไม่เชื่อมกัน หรือเป็น offsuit จะ realize equity ได้น้อยกว่า เช่น A2o หรือ Q7o แฮนด์ประเภทนี้มักจะได้ realize equity น้อยกว่าโดยเฉลี่ย จากตัวอย่างข้างต้น แฮนด์เหล่านี้ต้องมี equity มากกว่า 50% ถึงจะ call ได้อย่างมีกำไร

ตำแหน่งและทักษะของผู้เล่นก็มีส่วนสำคัญเมื่อต้องคิดถึงเรื่อง equity realization ผู้เล่นที่ in position จะมีโอกาสได้ realize equity มากกว่าผู้เล่นที out of position และโปรที่โชกโชนจะมีโอกาสได้ realize equity มากกว่าผู้เล่นที่ขาดประสบการณ์ เพราะโปรจะเล่น postflop ได้เก่งกว่า

ดังนั้น ถ้าแฮนด์ของเราอยู่คาบเส้นว่าจะ call ดีหรือไม่ ในแง่ของ raw equity เราอาจจะตัดสินใจดังนี้ :

  • Call ถ้าเรามีแฮนด์ที่ strong ที่เล่นต่อได้ดี หรือเราคิดว่าเราเล่น postflop ได้เก่งกว่าคู่แข่ง
  • Fold ถ้าแฮนด์ของเราเล่นต่อได้ยาก และเราไม่แน่ใจว่าเราจะเล่น postflop ได้เก่งกว่าคู่แข่งหรือไม่

ถ้าทั้ง 2 ทางเลือกไม่ช่วยให้เราแน่ใจกับแฮนด์ที่ถืออยู่ ให้ 3-bet เราจะได้ประสบการณ์เร็วกว่าด้วยวิธีนี้

เมื่อเข้าใจตามนี้แล้ว ลองมาดูแฮนด์ที่เป็นไปในได้ range ของ Hero เมื่อต้องเจอกับ raising range ของ CO :

bb vs co high poker rake impacts

ตัวเลขที่อยู่ด้านล่างแต่ละแฮนด์แสดงคือ equity ของแฮนด์นั้นเมื่อเจอกับ range ของอีกฝ่าย

ทางด้านซ้ายคือ opening range ของ CO ทางด้านขวา เราจะเห็นว่า equity ของแต่ละ hand เมื่อเจอกับ raising range ของ CO จะมีค่ามากน้อยแค่ไหน

ก่อนที่ผมจะให้ดูว่าแฮนด์ไหนที่ Hero ควรใช้ defend มาลองคำนวณก่อนว่า Hero ต้องมี equity เท่าไหร่ถึงจะเพียงพอที่จะ defend ได้ ถ้าไม่มี rake

Pot odds = $6 / $8 (bet ของ CO) + $9 (call ของเรา + เงินจาก blind)

Pot odds = $6 / $17 = 0.35 -> 35% คือ raw equity ขั้นต่ำที่ต้องมี

ผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกันอย่างมาก! คือ 50% เทียบกับ 35% ลองดูความแตกต่างของ defending range ของ Hero เมื่อมี และไม่มี rake (ผมตัดแฮนด์ที่อยู่คาบเส้นหรือแฮนด์ที่เล่นไม่ค่อยได้ที่ไม่สามารถ realize equity ได้มากพอออกไป)

how poker rake changes bb strategy

ตัวเลขที่อยู่ด้านล่างแต่ละแฮนด์แสดงคือ equity ของแฮนด์นั้นเมื่อเจอกับ range ของอีกฝ่าย

เราสามารถลองทำการบ้านเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และลองเปลี่ยนค่าตัวแปรบางตัว เช่น ขนาดของ open raise และ range ของคนเปิด และพยายามศึกษาให้คุ้นเคยกับ defending range ของ BB กับสถานการณ์เหล่านั้น

range การ defend 3-bet

ในส่วนนี้ เราจะพูดถึงกระบวนการสร้าง range การ call 3-bet ให้สอดคล้องกับ range ของคู่แข่ง แต่ขนาดการ raise ของเขา

จากส่วนที่แล้ว เราสามารถก๊อปปี้กระบวนการในการสร้างกลยุทธ์ของเรา จากตัวแปรหลายตัวที่เราต้องเจอ (เช่น range ของคู่แข่ง, ขนาดการ raise, ขนาดของ rake และอื่นๆ)

แฮนด์ตัวอย่างที่เราใช้ เกิดขึ้นในคาสิโนเดียวกัน และเราจะไปดูทั้งสถานการณ์ที่มีและมี rake 

ที่คาสิโนท้องถิ่น เกม $1/$2 ผู้เล่น 9 คน Effective Stack $200

Hero อยู่ที่ CO ถือไพ่ 2 ใบในมือ

5 คนก่อนหน้า fold Hero raise ไป $6 BTN 3-bets ไป $18 อีก 2 คน folds Hero…?

นีคือ open-raising range ของ CO ในการเล่นไลฟ์เกม ที่ Upswing Lab แนะนำมา :

co poker rake range

cutoff raising range ของ CO จาก Upswing Lab (สีแดง = Raise, สีชมพู = Raise เป็นทางเลือก, สีน้ำเงิน = Fold)

ในตัวอย่างนี้ เรากำหนดให้ CO raise กับแฮนด์ที่เป็นทางเลือกทั้งหมด

และกำหนดให้ BTN ใช้ 3-bet range ที่ Lab แนะนำ สำหรับการเล่นไลฟ์เกม เช่นกัน คือ :

btn vs co

BTN vs CO range จาก Upswing Lab (สีแดง = 3-Bet, สีชมพู = 3-Bet ทางเลือก, สีส้ม = 3-Bet หรือ Call, สีเขียว = Call, สีน้ำเงิน = Fold)

เรากำหนดให้ BTN 3-bet เฉพาะแฮนด์สีแดงและสีส้ม

กระบวนการก็จะคล้ายกับขั้นตอนเดียวกันที่เราทำในส่วนที่แล้ว เราจะเริ่มจากการคำนวณ pot odds ของ Hero กันก่อน :

Pot odds = $12 (Hero call 3-bet) / $12 (Hero call 3-bet) + $6 (Hero raise) + $18 (CO 3-bet) + $3 (เงินจาก blind) – $5 (rake)

Pot odds = $12 / $34 = 0.35 = 35% คือ raw equity ขั้นต่ำที่เราต้องมี

ถ้าไม่มี rake การคำนวณจะได้ผลลัพธ์ ดังนี้ :

Pot odds = $12 / $18 + $18 + $3

Pot odds = $12 / $39 = 0.30 = 30% คือ raw equity ขั้นต่ำที่ต้องมี

จะเห็นได้ว่า equity ของทั้ง 2 กรณีไม่ได้แตกต่างกันมาก เนื่องจาก rake ยังเก็บเท่าเดิม ($5) แต่ pot ใหญ่ขึ้น ขณะที่ในส่วนที่แล้ว rake $5 ถูกเก็บจาก pot ที่มี $17 (29.4% ของ pot) แต่ตอนนี้ rake $5 ถูกเก็บจาก pot ที่ $37 (13.5% ของ pot)  

ลองดูว่า range ในแต่ละกรณีเป็นอย่างไร (เช่นเคย ผมตัดแฮนด์ที่อยู่คาบเส้นและเล่นต่อได้ยากที่มีโอกาส realize equity ได้น้อยออกไป)

btn vs co rake and no rake comparison

สรุป

rake ในโป๊เกอร์มีผลอย่างมากกับการเล่นของเรา เราต้องนำเรื่องนี้มาคิดและปรับกลยุทธ์ ถ้าเราต้องการเอาชนะเกมให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ถ้าเราเล่นออนไลน์ เราสามารถใช้กระบวนการเดียวกันนี้ในการประเมินว่า rake จะส่งผลต่อ range ของเรามากแค่ไหนได้เล่นกัน ลองหาโครงสร้างของการเก็บ rake บนไซต์ที่เราเล่น และใช้ตัวเลขคำนวณดู range ที่ได้อาจจะไม่ tight เท่ากับที่เห็นด้านบน แต่ผมพนันว่า คุณจะต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็นว่า rake สร้างความต่างได้มากแค่ไหน ในเกมออนไลน์

ถ้าคุณเป็นผู้เล่นไลฟ์ ตอนนี้คุณน่าจะพอเข้าใจว่า rake ในเกมโป๊กเกอร์ส่งผลต่อ preflop range อย่างไรบ้างมากขึ้น

https://upswingpoker.com/rake-poker-strategy-adjustments/