ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่เราจะต้องพูดเกี่ยวกับ Game Theory Optimal (GTO) กับการเล่นแบบ Exploitative แล้วล่ะ
เพราะมันเป็นหัวข้อที่ดูเหมือนจะทำให้หลายคนสับสน จากหลายๆครั้งที่ผมได้ยินคนถามถึงมันหรือใช้มันอย่างไม่ถูกต้อง แต่ผมก็เข้าใจนะว่ามันเป็นหัวข้อที่ซับซ้อน
การถกเถียงในสังคมโป๊กเกอร์เกี่ยวกับ GTO และ Exploitative เกิดขึ้นมานานแล้ว และก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเพราะ GTO เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วพื้นฐานความหมายของมันก็คือ “ดีที่สุด” หรือเพียงแค่ “ดี”
ในบทความนี้ผมจะลงรายละเอียดว่าเราจะใช้แต่ละกลยุทธ์แบบไหนและเมื่อไหร่ แต่สิ่งสำคัญในการเริ่มต้นคือจะต้องมั่นใจก่อนว่าเรามีความเข้าใจที่ตรงกัน
Game Theory Optimal หรือ GTO คืออะไร?
คำว่า GTO ถูกพูดถึงอย่างมากในสังคมโป๊กเกอร์ ถึงแม้อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องก็ตาม
ถ้าคุณได้เล่นในรูปแบบ Game Theory Optimal อย่างสมบูรณ์แล้วล่ะก็ คู่ต่อสู้จะไม่สามารถ exploit คุณได้เลย สิ่งที่คู่ต่อสู้จะทำได้ดีที่สุดคือ breakeven
…. แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งวิเศษอย่างที่มันดูเหมือนจะเป็นหรอกนะ เพราะยังมีปัญหาบางอย่างในทางปฏิบัติของการพยายามเล่นในรูปแบบ GTO
ปัญหาของการเล่น GTO
NLH ไม่ใช่เกมที่ถูก solve ได้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีกลยุทธ์ GTO อย่างแท้จริง
ไม่ว่าคุณจะคิดว่ากลยุทธ์การเล่นของคุณ balance ได้ดีแค่ไหน แต่มันก็จะมีจุดอ่อนในการ exploit เสมอ
ถึงแม้เราจะรู้จักกลยุทธ์ GTO แล้ว แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์อย่างเราจะใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์โดยปราศจากคอมพิวเตอร์ NLH เป็นเกมที่ซับซ้อนมากเกินไป
ณ ตอนนี้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือการเลียนแบบ GTO โดยการพยายามเล่นอย่างไม่ถูก exploit ตามหลักการทฤษฎีที่ได้เรียนรู้มา…
….แต่การทำเช่นนั้น เราก็มีความเสี่ยงที่จะละเลยในการสังเกตคู่ต่อสู้ และทำให้ไม่สามารถรู้ได้ถ้าคู่ต่อสู้กำลัง exploit การเล่นของเรา
และนั่นคือจุดที่การเล่น exploitative เข้ามามีบทบาท
Exploitative แตกต่างจาก GTO อย่างไร?
กลยุทธ์ exploitative คือการเล่นที่เราค้นหาและใช้ประโยชน์จากความไม่สมดุลในกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้
หรือพูดอีกอย่างก็คือ เราจะค้นหาและโจมตีจุดอ่อนในเกมของคู่ต่อสู้ ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจเป็นการสร้างจุดอ่อนในการเล่นของตัวเราเอง
ปัญหาของการเล่น Exploitative
จุดอ่อนสำคัญที่สุดของการเล่น exploitative คือการเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ exploit เรากลับมาได้
การใช้กลยุทธ์ exploitative เราจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและมีสติอย่างมากในการสังเกตคู่ต่อสู้ เมื่อไหร่ที่คู่ต่อสู้เริ่มรู้สึกตัว พวกเขาจะเริ่มปรับตัวกลับมาจู่โจมกลยุทธ์ของเรา ดังนั้นเราจะต้องปรับอีกครั้งเพื่อไม่ให้เสี่ยงที่จะเป็นฝ่ายถูก exploit
การเล่น exploitative มี variance สูง
การตัดสินใจในการเล่น exploitative นั้นมาจากข้อมูลหรือสมมติฐานในเกมของคู่ต่อสู้ ดังนั้นถ้าเราปรับการเล่นไปตามข้อมูลที่(กลับกลายเป็น)ผิดพลาดหรือสมมติฐานที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจทำให้เสียเงินได้มาก
วิธีเล่นแบบ GTO
จากที่ได้กล่าวไปด้านบนว่าการใช้กลยุทธ์การเล่น GTO ในเกม NLH นั้นยังไม่เกิดขึ้น เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับมนุษย์ หรือแม้แต่กับคอมพิวเตอร์เอง ที่จะเล่น GTO ได้อย่างสมบูรณ์ (แต่มันอาจเปลี่ยนแปลงได้ในเร็วๆนี้)
นั่นหมายความว่า การเข้าใจในทฤษฎีเกมโป๊กเกอร์และรู้ว่าจะใช้ประโยชน์สูงสุดได้อย่างไรในการเล่นบนโต๊ะคือสิ่งที่ล้ำค่าอย่างมาก
การที่จะเล่นสไตล์ GTO ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น เราจะต้องมี range ที่ balance อย่างดีสำหรับทุกสถานการณ์
เวลาที่เรา bet เป้าหมายของเราคือการทำให้คู่ต่อสู้ indifferent ระหว่างการ call และ fold ซึ่งสามารถทำได้ด้วย 2 ขั้นตอนนี้:
ขั้นตอนที่ 1: คำนวณ pot odds ที่คู่ต่อสู้ได้รับต่อ bet ของเรา และทำให้เป็นสัดส่วน
ขั้นตอนที่ 2: สร้าง betting range ด้วยสัดส่วนเดียวกันสำหรับการ value bet ต่อ bluff
ลองมาลงรายละเอียดด้วยการดูจากตัวอย่าง:
เกม $5/$10 Heads Up บน PokerStars, $1,000 Effective Stacks
River (Pot: $200)
Villain check, Hero bet $200
Villain กำลังเจอกับ $200 pot size bet ที่ river ซึ่งหมายความว่าเขาได้รับ 2-ต่อ-1 odds ในการ call และจะต้องชนะอย่างน้อย 33% ของทุกครั้งที่ call
ที่จุดนี้ สัดสวนที่ถูกต้องสำหรับ value bet ต่อ bluff คือ 2-ต่อ-1 หมายความว่า betting range ของ Hero ควรจะมี 66% value bet และ 33% bluff ซึ่งจะทำให้ Villain indifferent ระหว่างการ call และ fold เพราะ EV ของทั้งสองแอคชั่นเท่ากับ 0
หมายความว่า Hero จะได้ freeroll จากการเล่นผิดพลาดของ Villain แน่นอนว่า Villain อาจเล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายเสียให้กับเรคเท่าๆกัน แต่สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าคือ Villain จะเล่นผิดพลาดกับบาง hand และเป็นการส่ง EV ให้กับ Hero
คุณอาจจะเห็นแล้วว่า กลยุทธ์การเล่น GTO อย่างสมบูรณ์นั้นจะต้องใช้ความคิดและเวลาอย่างมาก
โชคดีที่เราไม่จำเป็นต้องเล่น GTO อย่างสมบูรณ์แบบ การสร้าง range ที่ดีที่สุดในระหว่างการเล่นนั้นยากมากๆ (บางครั้งก็เป็นไปไม่ได้เลย) และมันก็ไม่จำเป็นด้วย
สิ่งที่จำเป็นคือใช้กลยุทธ์การเล่นบนหลักการ GTO
ข้อดีและข้อเสียของ GTO
ประโยชน์ของการใช้ GTO strategy นั้นมีอยู่หลายอย่าง
- การเล่นในรูปแบบ GTO ทำให้ยากที่จะถูก exploit
จากที่ได้กล่าวไปหลายครั้งแล้วในด้านบนว่าเป้าหมายของ GTO คือการไม่ถูก exploit ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เชื่อถือได้ถ้าเล่นอย่างเหมาะสม และการันตีความสำเร็จในระยะยาวได้
- GTO strategy ทำกำไรได้กับคู่ต่อสู้เกือบทั้งหมด
หลักการ GTO จะประสบความสำเร็จกว่าเล็กน้อย (หรือมากกว่านั้น) กับคู่ต่อสู้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะกับพวกที่เก่งๆ
มีข้อยกเว้นสำหรับผู้เล่นที่มีการเล่นผิดปกติที่เราต้องปรับกลยุทธ์อย่างมาก แต่ leak เหล่านั้นก็มักจะชัดเจนมากจนเราสามารถสังเกตและปรับตัวได้ทันที
- หลักการ GTO เป็นกลยุทธ์เริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบ
“การปรับตัว” เป็นคำที่ใช้กันมากเมื่อพูดถึง poker strategy แต่ก่อนที่จะเริ่มปรับอะไรได้นั้น เราจำเป็นต้องมีแผนสำหรับเกมเริ่มต้น
หลักการ GTO เป็นทางเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวไว้ด้านบน: ยากที่จะถูก exploit และใช้ได้กับคู่ต่อสู้เกือบทั้งหมด
อย่างไรก็ดี GTO ก็มีข้อเสียอยู่มากเช่นกัน
- GTO ไม่ได้ทำกำไรได้สูงสุดเสมอไป
ตามคำจำกัดความ หลักการ GTO ไม่ได้คำนึงถึงแนวโน้มของคู่ต่อสู้
หรือพูดอีกอย่างก็คือ GTO strategy ที่แท้จริงจะคำนึงถึงการตัดสินใจที่มี +EV สูงสุดในระยะยาวด้วยเหตุผลเพื่อให้ balance
นั่นทำให้ EV ของบาง hand แย่ แต่ range โดยรวมของเราทำกำไรได้มากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว โดยเฉพาะในเกมเล็กๆ มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสีย EV เหล่านี้เมื่อเกมของผู้ต่อสู้มีช่องว่างให้ exploit ได้มาก
ลองนึกถึงการเล่นบนโต๊ะที่มีผู้เล่น loose มากๆที่ raise 50% preflop จากทุกตำแหน่ง ถ้าใช้หลัก GTO กับคู่ต่อสู้นี้ก็จะเป็นการทิ้งเงินจำนวนมากไว้บนโต๊ะ แต่การปรับด้วย exploitative เช่น 3-bet ด้วย range ที่กว้างขึ้นเพื่อ isolate ผู้เล่นที่ loose จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในจุดนี้
ในตอนที่2 เราจะไปดูรายละเอียดการเล่นแบบ Exploitative กันบ้าง
source: https://upswingpoker.com/gto-vs-exploitative-play-game-theory-optimal-strategy/