C-Bet Size: 3 ปัจจัยที่ต้องรู้

ผู้เล่นส่วนใหญ่รู้ว่าการ c-bet เป็นกลยุทธ์พื้นฐานของการเล่น postflop แต่ก็ยังมีหลายๆคนที่มีปัญหาในการตัดสินใจว่าจะใช้ c-bet ที่เท่าไหร่ดี

C-bet หรือ continuation bet คือ bet จาก aggressor ใน street ก่อนหน้า

แม้แต่ผู้เล่นที่เก่งๆก็อาจยังไม่แน่ใจในการเลือกขนาด c-bet  ตัวอย่างเช่น ผู้เล่นใน live game หลายๆคนชอบที่จะ bet 1/2 หรือ 1/3 ของ pot ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆก็ตาม

ปัจจุบันนี้ c-bet ระหว่าง 25- 100% ของ pot นับว่าใช้ได้ทั้งหมด  เคล็ดลับคือการปรับ bet size ของเราให้เหมาะสมที่สุดตามแต่ละสถานการณ์

ในบทความนี้เราจะมาพูดถึง 3 ปัจจัยสำคัญที่สุดที่เราควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกขนาด c-bet

1. C-Bet Range ของเรา

สิ่งแรกที่ต้องคิดก่อนที่จะ c-bet คือการเลือกขนาด bet ให้สอดคล้องกับ range ของเราได้อย่างไร

ใช้ bet size เล็กลงกับ condense range

ถ้า range ของเรามี low และ medium-strength hand อยู่มาก เราก็ควรใช้ bet size เล็กลงที่ประมาณ 25- 40%  ซึ่งเหตุผลหลักก็เพราะว่า bet size ของเราจะกระทบต่อ range ของคู่ต่อสู้

เช่น สมมุติว่าเราได้ open 8d7d ไปจาก BTN และมี BB call มา  จากนั้น flop เป็น Ac8c2d

การ bet เล็กๆนั้นดีกว่า bet ใหญ่ๆที่จุดนี้มาก เพราะมันทำให้เราสามารถ bet ด้วย range กว้างขึ้นที่สามารถมีทั้ง bluff และ thin value bet ได้

และสำหรับในเคสของ hand นี้ การ bet ใหญ่ๆจะแย่มาก เพราะคู่ต่อสู้ไม่น่าจะ call bet ใหญ่ๆด้วย hand ที่แย่กว่า 8d7d มาได้ 
แต่เราก็ยังมีเหตุผลดีๆที่จะ c-bet ได้ในบางครั้ง อย่างแรกก็เพื่อไม่ให้ คู่8 ของเราถูก deny equity จากพวก over card (9-K)  และยิ่งไปกว่านั้น คู่ต่อสู้ก็ไม่น่าจะ float ด้วย combo ที่มี over card พวกนี้  เพราะไม่ว่าเขาจะติดคู่อะไรก็ตามใน street ต่อไป ก็จะยังตามหลัง top pair บน flop อยู่ดี

อีกหนึ่งเหตุผลในการใช้ c-bet เล็กๆก็คือ เราไม่ต้องการถูก raise ด้วย hand ที่เราใช้ thin value bet และถูก deny equity  และ bet เล็กๆทำให้เราเสียน้อยลงและสามารถ fold ได้ไม่ยากนัก

ใช้ bet size ใหญ่ขึ้นกับ polarize range

Polarize range จะมีเฉพาะ strong hand หรือ bluff เท่านั้น และจะไม่มีพวก medium-strength hand อยู่ระหว่างกลาง

โดยทั่วไป c-bet size ใหญ่ขึ้น (ตามปกติประมาณ 66-75% ของ pot) เวลาที่ range ของเรา polarize

มี 2 เหตุผลหลักๆสำหรับหลักการนี้คือ:

  1. การใช้ bet ใหญ่ๆทำให้เราสามารถเรียก value ให้กับพวก hand ที่ดีที่สุด ซึ่งเราสามารถ value bet ต่อเนื่องในหลาย street ได้อย่างมั่นใจ
  2. การใช้ bet ใหญ่ๆช่วยให้เราได้ maximum fold equity ให้กับพวก hand ที่อ่อนที่สุดซึ่งเราจะใช้เป็น bluff

ถ้า range ของเราอยู่ระหว่าง condense และ polarize ก็ให้ใช้ bet size กลางๆ (ประมาณ 50-60% ของ pot)

2. Board Texture

ตามปกติแล้วเราจะ c-bet เพื่อเรียก value หรือเพื่อ deny equity  แต่ board texture ก็เป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดเหตุผลในการ bet ที่เหมาะสม และ bet size ที่เราควรใช้

Dry & Static Boards

Equity denial มักไม่มีความสำคัญมากนักบน board ที่ dry และ static  นั่นก็เพราะ hand ที่ตามหลัง value betting range ของเรา ไม่น่าจะมีโอกาส outdraw เราใน street ต่อๆไปได้  ในทางกลับกัน เราก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะต้อง bet ใหญ่ๆเพื่อให้ได้ fold equity  ดังนั้นเราจึงควร bet เล็กลง

อีกหนึ่งเหตุผลคือ calling range จะไม่ค่อยยืดหยุ่นนักบน dry & static board หมายความว่าโอกาสที่คู่ต่อสู้จะ fold ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามขนาด bet size ของเรา  หรือพูดอีกอย่างก็คือ เราคาดหวังที่จะถูก call จากพวก hand ที่มีอะไรเกี่ยวข้องอยู่บ้างเท่านั้น  เพราะที่เหลือก็จะไม่มีอะไรเลย โดย turn กับ river ก็แทบไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลง hand strength ได้

ถ้าเราสามารถได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันกับ bet size ที่เล็กลง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสี่ยงลงชิพมากเกินไปกับ bluff ของเรา         

เพื่อให้เห็นภาพในจุดนี้ เรามาดูจากตัวอย่างกัน

ตัวอย่าง: PokerStars $5/$10 6-Hand Effective Stack 100bb

Hero มี AdJs ที่ UTG
Hero raise 2.5bb…4 คน fold และ BB call

Flop (5.5bb): AhAs6c
BB check…Hero c-bet…

นี่เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของ dry & static board  value bet ของเราจะเป็น hand ที่ไม่น่าจะถูก outdraw ได้  ดังนั้นเมื่อเราไม่ต้องกังวลที่จะต้องปกป้อง value range ของเรา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้อง bet ใหญ่ๆ

ลองดูที่ equity chart ด้านล่างสำหรับ range ของ Hero และของ BB:

จากเปอร์เซ็นต์ที่เห็นในตาราง  value range ของเรามี equity advantage อยู่มากบน board นี้  และ range โดยรวมทั้งหมดของเราก็ได้เปรียบ BB caller อยู่ประมาณ 2-ต่อ-1  นั่นหมายความว่า การใช้ c-bet size เล็กลง อาจที่ประมาณ 1.36-2BB  นั้นมีประสิทธิภาพกว่าการใช้ c-bet ที่ใหญ่กว่า  size เล็กๆนี้ทำให้เราสามารถ bluff ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยความเสี่ยงที่น้อยลง และมันแทบไม่ส่งผลกระทบต่อ fold equity บน board นี้เลย

โดยทั่วไป บน board texture ที่มีโอกาสนำหรือตามมากๆไปเลยแบบนี้  range ของ BB จะมี hand ที่ float แย่ๆได้มาก (hand สีส้มที่มีอยู่ประมาณ  20- 32% ในตารางด้านบน) ดังนั้น BB จึงน่าจะ fold ให้กับ bet ของ Hero  แต่เพราะ hand พวกนั้นยังมี equity ต่อ bluff ของเรา (7♥ 8♥, 7♠ 8♠, 7♣ 8♥, 8♥ 9♥, 8♠ 9♠, 8♣ 9♣, 9♥ T♥, 9♠ T♠, and 9♣ T♣) อยู่บ้าง  การทำให้พวกมัน fold ให้กับ c-bet เล็กๆจึงนับว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างแน่นอน

Wet & Dynamic Boards

ในสถานการณ์ที่ value betting range ของเราเปราะบางและมีโอกาสถูก outdraw ได้ เราก็ควรใช้ c-bet ใหญ่ขึ้นเพื่อ deny equity  bet size เล็กๆจะไม่มีประสิทธิภาพบน wet board เพราะมันทำให้คู่ต่อสู้สามารถ realize equity ได้ง่ายเกินไป  ดังนั้นการใช้ bet size ที่ใหญ่ขึ้นจึงมีประโยชน์ 2 อย่าง:

1) bet ใหญ่ๆทำให้เราสามารถเรียก value ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ให้กับ strong hand ของเรา
2) bet ใหญ่ๆทำให้เราสามารถ bluff ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะ pot odds ของคู่ต่อสู้จะแย่ลง ทำให้ได้ fold equity มากขึ้น   

บน wet board ยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเรียก value ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ board จะอำนวย  ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามี 7d7s บน 6h7h8h เราจะไม่สามารถ value bet ได้ถ้า turn เป็น 5h หรือ 9h  หรือแม้แต่ 4 หรือ 9 ดอกอะไรก็ตามก็จะทำให้เราต้อง slow down ลงเช่นกัน  นั่นหมายความว่าเราจำเป็นต้องใส่เงินลงใน pot ในขณะที่คู่ต่อสู้พร้อมที่จะ call ด้วยไพ่ที่แย่กว่า

มาดูจากอีกตัวอย่างกัน

ตัวอย่าง: PokerStars $5/10 6-Hand Effective Stack 100bb

Hero มี 7h7c ที่ CO
Hero raise 3BB…BTN call…blind ทั้งสอง fold

Flop (7.5bb): 6s4s2d
Hero c-bet…

สิ่งที่แตกต่างจาก board ในตัวอย่างที่แล้วคือ บน wet board ลักษณะนี้ fold equity กลายเป็นสิ่งสำคัญมาก  ซึ่งเราจะเห็นได้จาก equity chart ด้านล่าง 

จะเห็นได้ว่า range ของเรามีอยู่เพียง 15 combo ที่มี equity อย่างน้อย 80% ต่อคู่ต่อสู้ (22, 44, 66, 64s และ AA)  value range ส่วนใหญ่ของเราจะเป็น hand ที่มี equity  ประมาณ 60% ซึ่งแน่นอนว่าเป็นระดับที่จำเป็นต้องได้รับการปกป้อง

บน board ที่ equity ใกล้เคียงกัน มันจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องชาร์จคู่ต่อสู้ให้มากที่สุดถ้าพวกเขาต้องการจะ realize equity   จึงเป็นสาเหตุที่ต้องใช้ bet size ใหญ่ๆ ที่ประมาณ 66- 80%  ของ pot  เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถกดดันและได้ fold equity มากขึ้นให้กับ value hand ที่เปราะบางของเรา (ซึ่งก็คือพวก A6s, K6s, 86s, 76s, 55, 77 และ 88) และเช่นเดียวกันกับพวก bluff ของเรา (เช่น 75s, 78s, T♠ 8♠ และ J♠ 8♠ เป็นต้น)

3. C-Bet Size ของเราจะส่งผลกระทบต่อ continue range ของคู่ต่อสู้อย่างไร

และสิ่งสุดท้ายที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ความเข้าใจว่า c-bet size ที่เราใช้ จะทำให้เราเจอกับ range แบบไหน    

ยิ่ง bet size ใหญ่แค่ไหน ก็จะยิ่งเจอกับ range ที่แข็งขึ้น ถ้าคู่ต่อสู้ call  ตัวอย่างเช่น ถ้าเราใช้ bet size ใหญ่ๆตลอดในหลาย street  คู่ต่อสู้ของเราก็จะ fold สัดส่วนของ range ส่วนใหญ่จาก range ทั้งหมดออกไปในแต่ละ street  เมื่อมาถึง river เราสามารถคาดการได้ว่าคู่ต่อสู้จะถือ strong made hand หรือไม่ก็เป็น drawing hand ที่มี equity ดีมากที่ turn

ในทางกลับกัน bet size ที่เล็กลงจะทำให้ range ทั้งสองยังกว้างอยู่
 range ของเราจะมี low และ medium-strength hand อยู่มาก และจะมี bluff อีกมากเช่นกันเพื่อให้ balance  คู่ต่อสู้สามารถปกป้องด้วยการ call กับ range กว้างๆ เพราะเขาไม่จำเป็นต้องมี equity มากนักเพื่อให้เป็น profitable call  และอย่าลืมหลักการนี้ที่ turn กับ river – พวก backdoor draw และ two-pair combo แปลกๆอาจมาจับเราโดยไม่ทันระวังตัวก็ได้! 

source: https://upswingpoker.com/c-bet-sizing-strategy-continuation-bet/