Buy-in เท่าไหร่ดีนะ…Min หรือ Max?

ถ้าคุณเป็นมือใหม่ในเกม poker ก็คงสงสัยว่าทำไม player ที่ลงเล่นถึงได้ buy-in ชิพในจำนวนที่แตกต่างกันนะ และเราควรเลือกเริ่มต้นที่ stack เท่าไหร่ถึงจะดีที่สุด?

มีอยู่หลายทางเลือก เราสามารถเลือก buy-in ได้ตั้งแต่ minimum ถึง maximum buy-in ของโต๊ะ  แต่โดยทั่วไปการ buy-in full stack ก็ถือว่าดีที่สุด  โต๊ะส่วนใหญ่จะมี maximun nuy-in ที่ 100 big blind แต่ก็มีที่แตกต่างไปบ้าง

บางโต๊ะจะเล่นกัน deep มาก ซึ่งหมายความว่า maximum buy-in ก็จะสูงตามไปด้วย โดยอาจสูงถึง 250 big blind หรือมากกว่านั้น deep เกมมักเจอบ่อยใน live poker แต่ live poker บางทีี่ก็มีตัวเลือกนั้นเช่นกันซึ่งมักเป็นการเล่นด้วย ante

และในอีกทางหนึ่งก็ยังมีโต๊ะที่มี maximum buy-in ที่เล็กลง ซึ่งเรียกว่า shallow table  เพราะพวกนี้จะมี maximum buy-in อยู่ที่ประมาณ 20 หรือ 40 big blind  แน่นอนว่าเราก็สามารถเล่น deep poker บนโต๊ะพวกนี้ได้ถ้ามี rebuy หลายครั้งและผู้เล่นได้ double up หรือ triple up stack ไปบ้างแล้ว

มีหลายเหตุผลที่ผู้เล่นเลือกเล่นด้วย minimum buy-in  แต่พวกโปร player มักจะเลือกเล่นด้วย maximum buy-in มากกว่า

เรามาดูตัวเลือกของ buy-in ต่างๆและการเลือกใช้อย่างเหมาะสม

เริ่มต้นด้วย Minimum Stack

ตามปกติแล้วมีผู้เล่น 2 ประเภทที่จะเลือก buy-in minimum:
1) Recreational player
2) Professional short stacker

ประเภทแรกคือพวก Recreational player ซึ่งมีหลายเหตุผลที่พวกนี้เลือก buy-in minimum  อาจเพราะต้องการเสี่ยงด้วยจำนวนเงินน้อยลง  หรือพวกเขาอาจเล่นเพื่อความสนุกและไม่ได้มีเป้าหมายจริงจังในการปั้น bankroll  ส่วนมากแล้วพวกเขารู้ตัวว่าเป็น underdog ในเกม แต่ก็ยังอยากจะเล่น  จึงทำให้เลือกตัดสินใจ buy-in ด้วยเงินน้อยลง  และด้วยเหตุผลนี้ทำให้พวกเขาสามารถ buy-in เพิ่มได้มากกว่าถ้าต้อง all-in และเสียชิพไปทั้งหมด  player บางคนก็ชอบความรู้สึกตื่นเต้นในเวลา all-in  และอยากจะ shove stack ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้  และการเล่นด้วย short stack ทำให้จ่ายได้ในราคาถูกกว่ามาก  วิธีนี้ทำให้พวกเขาสามารถเล่นได้มากกว่าและนานขึ้น

ประเภทที่ 2 ของผู้เล่นที่ buy-in minimum คือพวก prefessional short stacker  ซึ่งเป็นพวกที่ใช้กลยุทธ์การเล่นเฉพาะ และจะเล่นสไตล์ tight และ aggressive มากๆ  เป้าหมายของพวกเขาคือการจบ hand ตั้งแต่ช่วง preflop หรือไม่ก็บน flop และพยายามจะ double up  และถ้าเป็น multiway ก็ยิ่งส่งผลดีต่อ short stacker อย่างมาก  เพราะเรามัก all-in ด้วยการเป็น short stacker อยู่แล้ว  และทุกครั้งที่หนึ่งในผู้เล่นที่อยู่ใน pot ได้ fold ก็หมายถึงเราได้ equity สูงขึ้นฟรีๆ  การ all-in กับผู้เล่นเพียงคนเดียวนั้นดีกว่าเจอกับหลายๆคนอยู่แล้ว นอกจากว่าเราจะมี absolute nut จริงๆ  ในเกม poker เราไม่สามารถเอาเงินออกจากโต๊ะและยังเล่นต่อได้ (ศัพท์แสลงโป๊กเกอร์เรียกว่า “going south”)  ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ double up ก็มักลุกออกจากโต๊ะและไปเริ่มเล่นในโต๊ะใหม่

Short stacking จะเหมาะกับเกม online มากกว่า  เพราะมีโต๊ะให้เลือกเล่นมาก  เราสามารถปิดโต๊ะนึงเพื่อไปเริ่มเล่นอีกโต๊ะได้ทันที  

ใน live เกมจะมีความซับซ้อนและใช้เวลามากกว่า  และถ้าเล่น home game ที่มีเพียงโต๊ะเดียว เราก็จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือย้ายไปโต๊ะอื่นได้  เราสามารถเล่นต่อด้วย stack ที่ใหญ่ขึ้น หรืออาจตัดสินใจเลิกก็ได้  แต่ถ้าเราทำแบบนี้ทุกครั้งที่ double up ก็อาจไม่มีใครชวนเราไปเล่นอีก  player หลายๆคนไม่ชอบและคิดว่าเป็นการเสียมารยาท ถึงแม้มันจะไม่ได้ผิดกฏข้อไหนก็ตาม

แม้แต่ใน casino ที่มีการเล่นมากกว่า 1 โต๊ะ การเปลี่ยนโต๊ะเล่นก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย  ขั้นตอนต่างๆใช้เวลามากกว่าใน online มาก  เราจะต้อง sit out และทำการใส่ชิพลงในถาดเอง  แน่นอนว่าต้องใช้เวลามากกว่าการ click mouse ในเกม online เพียงไม่กี่ครั้ง  และหลังจากนั้นเรายังต้องหาโต๊ะใหม่ที่มีที่นั่งว่างอยู่  ซึ่งตามปกติจะมี waiting list สำหรับ live table ใน casino  และตัวใหม่จะยังไม่เปิดจนกว่ามีผู้เล่นไม่พอใน waiting list  ถ้าทำแบบนี้ทุกครั้งที่ double up ไม่นานก็จะไม่มีใครเล่นกับเรา  ดังนั้นการเป็น professional short stacker และใช้ minimum buy-in ใน live game นั้นยากกว่า online มาก  แต่ถ้าเรายังตัดสินใจเริ่ม live game ด้วย short stack ยังไงก็ควรพิจารณาที่จะเล่นต่อหลังจากได้ double up

ทางเลือกที่ใช้กันมากที่สุดคือการ buy-in ด้วย 100 big blind

เริ่มต้นด้วย Full-Stack

ตัวเลือกสำหรับ player ส่วนใหญ่คือการลงเล่นด้วย full-stack ซึ่งมักจะเป็น 100 big blind จากที่ได้อธิบายไปด้านบน  ส่วนใหญ่แล้วผู้เล่นชอบที่จะมีเงินมากกว่าบนโต๊ะ เพื่อให้พวกเขาเล่น hand ได้มากกว่า ดู flop / turn / river ได้มากกว่าโดยไม่ต้อง rebuy บ่อยๆ  professional player และพวก regular ทุกคนชอบเล่นด้วย  maximum buy-in มากกว่า  เพราะรู้ว่าพวกเขาได้เปรียบและต้องการมีชิพบนโต๊ะมากกว่าพวก weak player  วิธีนี้ทำให้เวลาที่ all-in พวกเขาสามารถ cover player ที่อ่อนกว่าและกินชิพทั้งหมดเวลาที่ชนะ  และในเวลา bluff การมีชิพมากกว่าจะทำให้เรากดดันคู่ต่อสู้ได้มากกว่า และมีพลังมากขึ้นใน street ต่อๆไป  ดังนั้นการมี stack ที่ใหญ่กว่าจะทำให้ bluff ของเรามีโอกาสสำเร็จได้มากกว่าด้วย

เริ่มต้นด้วย Stack ที่แตกต่างกัน

ถ้าเราไม่ต้องการทั้ง buy-in ทั้ง minimum หรือ maximum เราก็สามารถจะ buy-in เท่าไหร่ก็ได้  บางครั้งผู้เล่นก็ buy-in ด้วยจำนวนที่แปลกมาก  อาจเป็นเพราะความเชื่อเรื่องโชคลางว่านี่เป็นตัวเลข”พิเศษ”ของพวกเขา  พวกเขาเชื่อว่าถ้าเริ่มเล่นด้วยจำนวนนั้นจะทำให้โชคดีและชนะมากขึ้น  หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวอะไรก็ตาม  ซึ่งเราจะเห็นใน live game ว่าผู้เล่นค่อนข้างเชื่อเรื่องโชคลางมากกว่า และจะสังเกตได้จากจำนวนที่พวกเขา buy-in

และท้ายที่สุด ก็อาจมีเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมผู้เล่นถึงเลือกเริ่มต้นที่ 73 big blind  ก็อาจเป็นเพราะผู้เล่นคนนั้นเล่นเสียมาก่อนและนั่นคือเงินทั้งหมดที่เขาเหลืออยู่  

คำแนะนำ

ถ้าเราสรุปรวมทุกอย่างที่ได้อธิบายไปด้านบน  ก็จะเห็นว่าไม่มีคำตอบที่ถูกต้องว่าควรเริ่มเล่นด้วย big blind เท่าไหร่ดี  ทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ / ความรู้ / bankroll / ความสามารถทางการเงิน และความคิดของเราต่อเกม poker

ในเกม online เราสามารถตั้งจำนวนเงินที่ต้องการไว้อัตโนมัติ  ถ้าเราเพิ่งเริ่มในอาชีพ poker และยังไม่มั่นใจบนโต๊ะมากนัก  การเล่นเกมที่เล็กลงก็จะดีกว่าเพราะเราสามารถ buy-in ด้วยจำนวนเงินที่น้อยลง  วิธีนี้จะทำให้เราไม่เสียเงินในการเรียนรู้ที่แพงเกินไป  และเช่นเดียวกันถ้าเรากลัวการเล่นเสียมากเกินไป แต่ในกรณีหลังนี้อาจเป็นการดีกว่าที่เราไม่ควรเล่น poker เลย

ถ้าต้องการเป็น prefessional short stacker ตัวเลือกเดียวของเราคือการ buy-in minimum  แต่สำหรับ player ที่มีประสบการณ์มากกว่าและคิดว่ามีความได้เปรียบกว่า player คนอื่นๆ  ก็ควรที่จะ buy-in maximum  เพราะวิธีนี้จะช่วยให้ทำเงินได้สูงสุดในเวลาที่เราชนะ

Source:
How Many Big Blinds Should you Start With, and Why?
https://pokerfortress.com/big-blinds-start-with/