เทคนิคการใช้ Fold Equity

Fold Equity Calculator: นำมาใช้งานยังไง

หลังจากได้ใส่ตัวแปรและทำการคำนวณด้วย fold equity calculator กันแล้ว  ตอนนี้เราจะมาดูเทคนิคการนำ “fold %” ตัวเลข/คำตอบ ที่ได้ไปใช้ในการเล่นจริง:

1) นำจำนวนของ combo ที่คิดว่า Villain จะ call การ jam ของเรามาได้  และคูณด้วย 1.X ซึ่ง “X” คือ % ที่ Villain จะต้อง fold (25% ที่ Villain จะต้อง fold จะเท่ากับ 1.25) 
2) ลบ value hand combo ออกจากข้างบน
3) ถ้าคิดว่า Villain จะ fold combo ได้อย่างน้อยตามนั้น  การ shove ของเราก็จะทำกำไรได้

ตัวอย่างเช่น ถ้า calculator บอกว่า Villain จะต้อง fold 25% เมื่อเรา shove จึงจะเป็นการเล่นที่ทำกำไรได้  และเราคิดว่าคู่ต่อสู้จะ call มาด้วย 20 combo hand

1)  20 x 1.25 = 25 combos ทั้งหมด
2) 25 combos ทั้งหมด – 20 calling combos = 5 combos ที่เหลือ
3) ถ้าคิดว่า Villain จะ fold 5 hand ใน range ของเขา (ตามการเล่นของเขาจนถึง ณ ตอนนั้น) การ shove ของเราก็จะทำกำไรได้

ยิ่งเราฝึกการใช้ fold equity calculator ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งคุ้นเคยกับตัวเลขมากเท่านั้น  และจะทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในการเลือก semi-bluff spot ได้อย่างเหมาะสม

สถานการณ์ทั่วไปที่จะได้ Fold Equity

การ bet หรือการ raise ใดๆจะช่วยให้เราได้ fold equity (ภายใต้สมมติฐานว่าคู่ต่อสู้จะต้อง fold บ้าง) 

นี่คือสถานการณ์ทั่วไปที่ aggressive bet สามารถทำให้เราได้ fold equity และเอาชนะ pot มาได้:

1) Preflop Raise (PFR): Limping (การ call big blind เฉยๆ) ไม่ใช่ winning strategy เพราะมันไม่ทำให้ pot ใหญ่ขึ้น ไม่ได้ fold equity  และยังทำให้ big blind ได้ realize equity ฟรีๆอีกด้วย  แต่การ raise เข้ามาในช่วง preflop นั้นอาจทำให้ player คนอื่นๆ fold กันไปหมดเลยก็ได้  ทำให้เราชนะ pot มาได้ทันทีโดยไม่ต้องมีการแข่งขันต่อ!  PFR นี้จะมีค่าและใช้ประโยชน์ได้มากใน tournament poker  สำหรับการ open-jam เวลา short-stack

2) 3bet+: อยู่ในกลุ่มเดียวกับ preflop raise แต่จะเป็นการ re-raise หลังจากการ raise ครั้งแรก

3) C-Betting: เป็นการเล่นหลังจากได้ raise preflop และจากนั้น bet ต่อที่ flop  “continuation bet” นี้สามารถทำที่ street ต่อไปก็ได้  เช่น เมื่อมีการ double หรือ triple barrel (การยิง bet ต่อเนื่องทั้งสาม postflop street)  หรืออาจเรียกว่าการ “delay cbet” ถ้า preflop raiser ได้ตัดสินใจ check flop แล้วค่อยมา bet ที่ turn

4) Probe Betting: เป็นการเล่นเมื่อมี player อีกคน raise in position จาก preflop แต่ได้ check flop  จากนั้นเรา (out of position) ได้ bet ที่ turn  เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ไม่ได้ bet flop ก็หมายความว่าเขาอาจจะ weak หรือไม่ได้ connect กับ board  เมื่อมาถึง turn ถ้ามีไพ่ที่ connect กับ board ได้ดี probe bet ดีๆก็อาจกดดันให้คู่ต่อสู้ fold ไปได้

5) Check-raise: เมื่อเรา out of position การเล่นไพ่ draw ให้ได้กำไรนั้นค่อนข้างยาก โดยเฉพาะที่ turn  ถ้าเราแค่ call turn bet (ซึ่งอาจไม่ได้ odds ที่ถูกต้อง แต่น่าจะยังมี implied odds อีกด้วย)  มันก็ยังยากมากที่จะได้ value ที่ river ถ้าเราได้ติด hand ขึ้นมา  การ donk-bet (การ bet ใส่ player อีกคนใน street ต่อไปหลังจากที่ player นั้นเป็นคน bet lead) ก็ดูจะผิดปกติและหาทำให้ถูก exploit ได้และเป็นเรื่องยากที่จะ balance

แต่น่าเสียดาย ถ้าเรา call turn bet ด้วย draw และได้ improve  จากนั้น check ไปให้คู่ต่อสู้ มันก็รับประกันไม่ได้ว่าเขาจะ bet กลับมาและทำให้เราได้เงินที่ river เพื่อให้การ call turn ของเรานั้นทำกำไรได้  ดังนั้นการ check-raise out of position ไม่ว่าที่ flop หรือ turn ด้วย draw ที่คัดเลือกมาแล้ว จะช่วยให้เราได้ fold equity  และยังช่วยให้เรามี initiative อีกด้วยซึ่งจะทำให้เราสามารถ bluff หรือ value bet ใน street ต่อไปได้ตามต้องการ (ขึ้นอยู่กับว่า draw ติดหรือไม่)

คอยจดจำ Player Type เสมอ: เรามี Fold Equity หรือไม่?

จากที่เราได้พูดกันในบทความที่แล้วว่า fold equity (และต่อมาคือ “overall equity”) ที่เรามีใน hand จะเพิ่มขึ้นถ้าโอกาสที่คู่ต่อสู้จะ fold ให้กับ bet ของเราเพิ่มขึ้น

เมื่อเจอกับ player บางประเภท ( nit/weak/passive/เล่นแบบตรงไปตรงมา)  การ bet bluff ใส่คู่ต่อสู้พวกนี้จะดีมาก โดยเฉพาะที่ flop มีโอกาสที่พวกนี้จะ fold hand มากเกินไป



แต่เมื่อเจอกับ player ประเภทอื่น (เช่น calling station) fold equity จะลดลงอย่างมากเพราะคู่ต่อสู้พวกนี้จะ fold น้อยมากเมื่อถูก bet หรือ raise 

เราจำเป็นต้องนึกถึงการ exploit คู่ต่อสู้และปรับเกมการเล่นของเราให้เหมาะสมเมื่อต้องตัดสินใจเลือก bet range

สิ่งอื่นๆที่ต้องพิจารณาในการตัดสินใจว่าการ bet/raise จะมี fold equity หรือไม่:

  • Stack size ต่อ blind  ปัจจัยนี้ใช้ได้โดยเฉพาะใน tournament ที่ player มีแนวโน้มที่จะ open-shove preflop  ถ้า player ที่ small blind มี 3bb และทุกคนก่อนหน้าหมอบมาหมด ถ้าเขาตัดสินใจ jam ก็แทบจะไม่มี fold equity เพราะ big blind จะได้ราคา call ที่ดีมากๆ 
  • Pot Odds และ Bet Sizing: แม้จะไม่เสมอไป แต่โดยทั่วไป bet เล็กๆจะถูก call มากกว่า  และ bet ใหญ่ๆก็จะถูก call น้อยกว่า 
  • Effective Stack Size: การที่เรามี $1,000 ในเกม $1/$2 ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกๆคนจะมีเหมือนกันด้วย  เราต้องคอยดู stack size ของ player คนอื่นๆและการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น (ทั้งตรงกับ pot size และเป็นสัดส่วนกับ pot size) ในแต่ละ street และแต่ละแอคชั่น

สรุป Fold Equity

การเล่นอย่าง aggressive และกดดันให้ player คนอื่นๆ fold ให้กับ bet หรือ raise ของเราได้นั้นเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก  เพราะเราได้เพิ่มทางเลือกที่จะชนะ pot มากกว่าแค่การไปที่ showdown  และนั่นคือการทำให้คู่ต่อสู้ fold และรางวัลของเราก็คือการชนะ pot ทั้งหมดได้ในตอนนั้นเลย

เพื่อพัฒนาเกมให้ดีขึ้น สิ่งที่เราควรศึกษาเพิ่มเติมคือเรื่องเกี่ยวกับ bet size / semi-bluff และ การ bluff  เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจหลักการที่เกี่ยวข้องกับ fold equity มากยิ่งขึ้น  และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเล่น aggressive โดยตรง

Source:
How Fold Equity in Poker Affects Your Bottomline
https://www.888poker.com/magazine/strategy/fold-equity-guide