สิ่งที่ผู้เล่นระดับโปรรู้กันเมื่อต้องเจอกับ Double Barrel

ผมรู้บางอย่างเกี่ยวกับผู้คนโดยไม่ต้องเจอหน้ากันก็รู้ นั่นคือ พวกเราชอบเกมกลยุทธ์

(ถ้าเราไม่ชอบ ก็คงไม่คลิกมาอ่านบทความเกี่ยวกับกลยุทธ์โป๊กเกอร์แบบนี้หรอก)

ไม่ว่าจะเป็นหมากรุก, Magic: The Gathering, หรือ League of Legends เราอาจจะเสียเวลาชีวิตไปเยอะในการเล่นเกมเหล่านี้

ดังนั้น เราคงรู้ดีว่า มีอยู่ 2 แง่มุมที่สำคัญในการเล่นเกมกลยุทธ์ นั่นก็คือ การรุก และ การตั้งรับ ซึ่งเราคงเข้าใจดีว่า ถ้าเรามีเกมรับที่ไม่ดี มันก็ยากที่จะชนะ โดยเฉพาะเมื่อต้องแข่งในระดับสูง

ในเกมโป๊กเกอร์ก็ไม่ต่างกัน ถ้าเราไม่มีกลยุทธ์เกมรับที่แข็งแกร่งพอ เราจะจบลงด้วยการเสียชิพจำนวนมาก ทำให้กำไรจากความพยายามในการเล่นเกมรุกของเราต้องเสียไป

มันจึงเป็นที่มาของประเด็นในวันนี้ คือ การตั้งรับเมื่อเจอ c-bet ซึ่งเราจะครอบคลุมประเด็นต่างๆดังนี้ :

  • จุดที่สำคัญที่สุดในการตั้งรับตอน turn 
  • การตั้งรับเมื่อเจอ c-bet ตอน turn ในทางทฤษฎี
  • การตั้งรับเมื่อเจอ c-bet ตอน turn ในทางปฏิบัติ
  • การปรับตัวตามตัวแปรต่างๆในการเล่น

จุดที่สำคัญที่สุดในการตั้งรับตอน turn

สถานการณ์ที่สำคัญที่สุดในการศึกษา คือสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด และเมื่อคิดตามมุมมองนี้ จุดที่ต้องต่อสู้กันโดยใช้เรื่องของตำแหน่ง ที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือสถานการณ์ที่ BTN เจอกับ BB

BTN vs. BB คือสถานการณ์การเผชิญหน้าที่เราจะได้เจอบ่อยที่สุด จึงเป็นจุดที่มีผลต่อ win-rate หรืออัตราการทำกำไรของเรามากที่สุด จึงเป็นตำแหน่งที่เราจะมาศึกษากันในวันนี้

เราจะเริ่มจากการพูดถึงทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังการเล่น เมื่อต้องเจอกับ c-bet ตอน turn จาก BB หลังจากนั้นเราจะมาศึกษาในทางปฏิบัติกันต่อ

การป้องกัน C-bet ที่ turn –  ทางทฤษฎี

เมื่อพูดถึงการป้องกันเมื่อเจอ bet ในทางทฤษฎีแล้ว แนวคิดที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องก็คือ minimum defense frequency (MDF)

แน่นอนว่า จะมีตัวแปรต่างๆมากมายที่จะช่วยสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสมให้เราในสถานการณ์ที่กำหนด ตัวอย่างเช่น :

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากผลลัพธ์ที่ Piosolver แนะนำมาสำหรับจุดที่ต้องป้องกันตอน turn เราพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วโอกาสที่จะต้อง fold ตอน turn จากการทดลองซ้ำๆหลายๆแบบ จะใกล้เคียงกับค่า MDF โดยดูจากข้อมูลที่ช่วยยืนยันได้ดังนี้

สมมติว่าเราเจอ bet 75% ของ pot ตอน turn หลังจาก call c-bet มาจาก flop  J♦ 9♥ 6♠ แล้ว MDF คือ 57.1% เมื่อต้องเจอกับ bet size ขนาดนั้น

เราได้ใช้ Piosolver ในการหา เปอร์เซ็นต์การ call, การ fold ที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงค่าสถิติอื่นๆ จากไพ่ตอน tunr ทั้งหมดที่เป็นไปได้  ซึ่งผลลัพทธ์โดยเฉลี่ยที่ออกมาคือ :

  • Raise  6.02%
  • Call 51.45%
  • Fold 42.53%

ดังนั้นเปอร์เซ็นต์ที่เราต้องเล่นต่อรวมกัน (call + raise) คือ 57.47% ซึ่งใกล้เคียงมากกับค่า MDF ที่ 57.1% ดังนั้น ถึงแม้การคำนวณ MDF จะไม่ใช่แนวคิดที่ใช้ได้ดีที่สุดในทางปฏิบัติ แต่ก็เป็นแนวคิดที่จำเป็น ถ้าเราพยายามเล่นหรือศึกษาการเล่นโป๊กเกอร์ให้เล่นได้เหมาะสมที่สุดในทางทฤษฎี  

ผมไม่ได้จะพูดว่าเราควรลองเล่นให้ได้เหมือน solver แต่การศึกษาจากมันจะช่วยให้เราพัฒนาสัญชาตญาณ ว่า hand ไหนควรจะเล่นต่อ และ hand ไหนควร fold ได้ การศึกษาจาก solver จช่วยให้เรามีพื้นฐานแนวคิดที่มั่นคงแข็งแกร่ง ที่จะช่วยให้เราเล่นจริงในทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

การป้องกัน c-bet ที่ turn – ทางปฏิบัติ

ในมุมมองทางปฏิบัติแล้ว จะนำองค์ประกอบต่างๆในเชิงความเป็นมนุษย์มาพิจารณาด้วย เช่น :

  • ความดุดันของการเล่นของคู่แข่งโดยทั่วไปตอน flop, turn และ river
  • แนวโน้มการเล่นตามไพ่ที่ออกมาตอน turn สำหรับคนส่วนใหญ
  • แนวโน้มการเล่นตาม board texture สำหรับคนส่วนใหญ่

ลองมาดูว่าตัวแปรแต่ละตัวจะส่งผลต่อกลยุทธ์ของเราอย่างไร

ความดุดันของคู่แข่ง

กลยุทธ์ในการรับมือกับการ c-bet ที่ turn นั้น ควรจะปรับตามกลยุทธ์การ c-bet โดยทั่วไป ของคู่แข่งของเรา เพื่อทำให้ง่ายขึ้น เราจะแบ่งกลยุทธ์การ c-bet ออกเป็น 3 ประเภท และดูว่าจะรับมือแต่ละประเภทอย่างไร

คู่แข่งประเภทที่ 1 : พวกยิงครั้งเดียวบ่อยๆแล้วพอ

คู่แข่งประเภทนี้จะ c-bet บ่อยมากๆตอน flop ไม่ว่า flop texture จะออกมาอย่างไร แต่มักจะ check back ตอน turn แม้จะมี draw ที่เขาควรจะ semi-bluff ด้วย

วิธีการรับมือ : เมื่อเจอกับผู้เล่นประเภทนี้ เราควร fold second pair และ hand ที่ weak กว่านั้นให้บ่อยขึ้นตอน turn ถ้าเขา c-bet เพราะเขา c-bet ไม่บ่อย แปลว่าถ้า c-bet เมื่อไหร่แสดงว่ามีโอกาสสูงที่เขาจะมี bet range ที่ strong

คู่แข่งประเภทที่ 2: พวก Double Barreler (ชอบยิง 2 ครั้งติด)

พวกนี้จะ c-bet ทั้งตอน flop และ turn บ่อยมากๆ แต่จะ check back บ่อยตอน river 

วิธีการรับมือ : เมื่อเจอพวกชอบยิง 2 ครั้งติด เราต้องรวบรวมความกล้าและเริ่ม call ให้บ่อยขึ้นกับ second หรือ thrd pair ตอน turn เนื่องจากเขามักจะไม่ยิง 3 ครั้งติด ทำให้ hand กลางๆของเรามีโอกาสจะได้ดู showdown มากกว่าจะถูกบังคับให้ต้อง fold ตอน river ถ้าเขา bet ต่ออีกที river เราก็ fold ได้ง่ายกับ hand กลางๆของเรา

คู่แข่งประเภทที่ 3: พวกยิงแหลก

คู่แข่งประเภทนี้จะ c-bet ทั้งตอน flop, turn และ river อย่างต่อเนื่องบ่อยๆ

วิธีการรับมือ : เมื่อเจอผู้เล่นแบบนี้ จะเหมือนกับเวลาเราเล่นรถไฟเหาะ เพราะมีตัวแปรมากมายที่จะส่งผลต่อการรับมือที่เหมาะสม (แต่ก็ช่วยให้ได้กำไรเยอะขึ้นเช่นกัน) ถ้าเราต้องการ exploit ผู้เล่นแบบนี้ได้อย่างเต็มที่ เริ่มจากการ fold ที่ flop ให้บ่อยกว่าเดิมนิดหน่อย จากนั้น ถ้า hand เรา strong พอจะผ่าน flop มาได้ ให้สูดลมหายใจลึกๆ แล้ว call จนถึง river ให้มากขึ้นเล็กน้อย เราอาจจะสามารถทำกำไรจากการ call ด้วย hand ที่ weak อย่าง bottom pair ได้ ถ้าไพ่ที่ออกมาค่อนข้าง brick (ไม่มี draw)

แนวโน้มการเล่นตามไพ่ที่ออกมาตอน turn : Overcard และ Undercard

ไพ่ที่ออกมาตอน turn จะมีหลายประเภท เช่น ไพ่ที่ทำให้ draw ติด, ไพ่ที่ทำให้ board มีไพ่เบิ้ล เป็นต้น แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้เล่นโป๊กเกอร์ทั่วไปมักจะเล่นให้สอดคล้องตามไพ่บน board ที่ออกมาเป็น overcard หรือ undercard และนี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะทำ : 

เมื่อไพ่ออกมาเป็น overcard : คู่แข่งส่วนใหญ่มักจะ bluff บ่อยขึ้น ซึ่งก็สมเหตุผล เพราะ overcard มักจะทำให calling range ของ caller นั้น weak ลง ทำให้มีโอกาสที่จะ fold second pair หรือ third pair บ่อยขึ้น แต่ถ้าเราคิดว่าคู่แข่งเป็นพวกขี้ bluff เมื่อ overcard ออกมา เราก็ควรจะเล่นให้ loose ขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจอ bet ตอน turn 

เมื่อไพ่ออกมาเป็น undercard : คู่แข่งส่วนใหญ่มักจะ bluff น้อยลงเมื่อไพ่ออกมาเป็น undercard ซึ่งก็สมเหตุผล เพราะคู่แข่งจะมีโอกาสจับ bluff ได้มากขึ้น เนื่องจากความ strong ของ hand จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากตอน flop (เช่น second pair จะยังเป็น second pair เมื่อไพ่ undercard ออกมาตอน turn) ทำให้มีโอกาส call ต่อได้มากขึ้น ถ้าคิดว่าคู่แข่งของเราเป็นคนประเภทนี้ เราก็ต้องเล่นให้ tight ขึ้นเล็กน้อย ถ้าเจอ bet ตอน turn

โน้มการเล่นตาม board texture

จะมีบาง board texture ที่จะช่วยให้คนพวกนี้ bluff เพิ่มขึ้น และบาง board ที่จะทำให้ bluff น้อยลงได้ ที่เป็นแบบนี้เพราะเรามักจะมี bluff ที่มาก หรือน้อยกว่า “natural bluffs” อยู่ใน range ของเรา

(natural bluff คือ hand ที่ไม่ติดอะไร ที่ยังมี equity มากพอสมควรเมื่อถูก call จึงมักจะถูกใช้เป็น semi-bluff ตัวอย่างเช่น flop J♠ 8♠ 5 natural bluff จะเป็น hand อย่าง straight draw (T9, 76, 97, และอื่นๆ) หรือ flush draw)

board ที่มักจะมีโอกาส bluff ได้มากขึ้น มักจะเป็น board เช่น KT8, Q85, J86 หรือ board อื่นๆที่มี draw เยอะๆ แต่เมื่อไพ่ตอน turn ออกมาเป็น brick ที่ไม่เกี่ยวข้อง คู่แข่งของเราที่เป็นพวก aggressive และไม่ได้ระมัดระวังมากนัก มักจะมี natural bluff ต่อตอน turn และ river มากกว่า value bet วิธีการรับมือกับการเล่นแบบนี้คือ call ให้กว้างขึ้นทั้งตอน turn และ river 

board ที่จะทำให้ bluff ได้น้อยลง มักจะเป็น board เช่น QJT9, AKQJ, Q♠7♠2♠3♠ และ board ที่ไพ่เรียงกันหรือดอกเดียวกันทั้งหมดอื่นๆ คู่แข่งของเราจำเป็นต้องมี bluff ที่สร้างสรรค์มากกว่าปกติใน board แบบนี้ ทำให้พวกเขาจะมี range ที่เป็น value bet ที่เห็นได้ชัด และไม่ค่อย balance เท่าไหร่ ดังนั้น เราสามารถรับมือกับแนวโน้มการเล่นแบบนี้ถ้าเจอ bet โดยการ call ให้น้อยลงมากกว่า board แบบอื่น

สรุปหลักคิด

เรื่องนี้เป็นจุดที่ทำให้ผู้ชนะในเกมโป๊กเกอร์มีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่นๆ พวกเขาเข้าใจคู่แข่งมากพอๆกับตัวเอง ซึ่งเป็นจุดที่เราต้องใส่ใจ ถ้าเราอยากจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้เช่นกัน

https://upswingpoker.com/vs-double-barrels-turn/