คำแนะนำสำหรับกลยุทธ์การ Floating

Floating คืออะไร?

floating คืออาวุธที่นักเล่นโป๊กเกอร์ที่กระหายชัยชนะทุกคนจำเป็นต้องมี อย่างไรก็ตาม มันคือการเล่นขั้นแอดวานซ์ที่ต้องอาศัยการ call ด้วย weak hand ตอน flop เพื่อที่จะชนะ pot ในภายหลัง ด้วยการ showdown หรือ bluff คู่ต่อสู้

เหตุผลสำคัญของที่ทำให้การ floating เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพก็เพราะ การ c-bet ที่ flop ส่วนใหญ่เป็นการ bet ด้วย weak hand ที่ไม่ติดอะไร hand เหล่านี้ถ้าโดน call ก็มัก check ยอมแพ้ที่ turn ซึ่งเปิดโอกาสให้คนที่ float มา bluff ต่อได้ 

วันนี้ เราจะมาพูดกันถึงประเด็นว่า เมื่อไหร่ที่จะสามารถ float ได้อย่างเหมาะสม และทำยังไงถึงจะ float ได้ดี

ประเภทของการ floating ที่ประสบความสำเร็จ

เพื่อที่จะ float ได้สำเร็จ จะต้องเป็นไปตามสถานการณ์ 2 อย่างนี้ :

  1. ต้องเป็นการเล่นแบบ heads-up มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้การ floating แล้วได้กำไรใน pot ที่มีผู้เล่นหลายคน เนื่องจากมีโอกาสที่ใครบางคนจะมีไพ่ที่ติด hand ใหญ่ๆจะมีสูงขึ้นมาก 
  2. ต้องยังพอมี equity เหลืออยู่บ้างเมื่อ call c-bet ของคู่แข่ง ถ้าเราไม่ได้เจอคู่แข่งที่ c-bet แล้วยอมแพ้ตอน turn บ่อย hand ของเราจำเป็นต้องมี equity เพื่ออย่างน้อยให้มีโอกาสติดอะไรบ้างก่อนจะถึง river ในกรณีที่ bluff ของเราไม่ได้ผล

ตัวอย่างของจุดที่เรา floating ได้

มาลองดูบางสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อการ float กันบ้าง ผมจะใช้ Flopzilla และ PioSolver ในการวิเคราะห์และสรุปผลเกี่ยวกับการ floating (โน้ตว่า สถานการณ์เหล่านี้ถูกคำนวณจากสมมติฐานว่าเราเล่นกับผู้เล่นที่แข่งแกร่งและมี preflop range ที่ดี)

คำอธิบายจากผู้เขียน : เช่นเคย เราจะไฮไลท์ส่วนที่เกี่ยวข้องในผลลัพธ์แต่ละอย่างของ Flopzilla และ PioSolver สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับโปรแกรมเหล่านี้

1. Floating เมื่อเจอกับ c-bet ใน pot ที่มีการ raise คนเดียว เมื่ออยู่ตำแหน่ง IP

แคชเกม 888 $0.5/$1 ผู้เล่น 6 คน Effective Stacks $100

Hero is ถือไพ่ 2 ใบอยู่ตำแหน่ง BTN

คนแรก fold MP raise มา $2.5 คนถัดมา fold Hero call ผู้เล่นอีก 2 คน fold

Flop ($6.5): 9♥ 8♠ 5♦

MP bet $4.3 Hero call

Turn ($15.10): 5♥

MP check Hero…

ก่อนอื่น เราต้องมาสร้าง calling range ที่ flop กันก่อน โดยที่ผมจะใช้ preflop range จาก Upswing Lab ดังนี้

floating strategy 985r flop

range ที่จะเล่นต่อเมื่อเจอ bet ที่ flop จะมีความถี่ประมาณ 45.5%  (ตามกรอบสีแดงในรูป) 

เห็นความผิดปกติอะไรใน range นี้ไหมครับ? ซึ่งเราควรจะต้องเห็นนะ เพราะเรา defend แค่ 45.5% เท่านั้น แปลว่า bluff ของคู่แข่งของเราจะสามารถกินชิพเราได้มากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้เขาสามารถ bet ด้วย hand ที่ไม่ติดอะไรก็ได้ใน range ของเขา 

ผมอยากจะชี้ให้เห็นด้วยตัวอย่างนี้ว่า floating ไม่เพียงแต่จะเป็นเครื่องมือเกมรุก เพราะมันก็สามารถเป็นเครื่องมือในเกมรับที่ช่วยปกป้องเราจะผู้เล่นที่ bluff ที่ flop มากเกินไปได้ด้วยเช่นกัน

range ที่เราจะ defend อย่างเหมาะสม ควรจะเป็นไปตามภาพด้านล่าง :

float strategy versus half pot

การเพิ่ม hand ใหม่เข้าไป (ในกรอบสีฟ้า) ทำให้ความถี่ในการเล่นต่อของเราสูงขึ้นเป็น 58% (ในกรอบสีแดง)

The newly added hands are . hand ที่เพิ่มเข้าไปใหม่ เช่น KTs–KQs และ ATs–AQs ที่มี backdoor flush draw hand เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการ floating เมื่อเจอกับ IP คือ hand ที่เป็น 2 overcards ที่มี backdoor draw ด้วยเหตุผลเพราะ hand เหล่านี้สามารถ :

  • พัฒนาเป็น top pair ที่แข็งแกร่งได้ทั้งคู่
  • พัฒนาเป็น flush draw ได้ที่ turn และติด flush ได้ที่ river
  • พัฒนาเป็น straight draw และติด straight ได้ที่ river
  • เล่นถึง showdown แล้วมีโอกาสชนะได้ (แม้จะยาก แต่มีโอกาส)

เหตุผล 3 ข้อนี้ทำให้ hand เหล่านี้สามารถลดโอกาสที่คู่แข่งจะ bluff ได้กำไรลงไปได้ตอน turn

2. Floating เมื่อเจอกับ c-bet ใน pot ที่มีการ raise คนเดียว เมื่ออยู่ตำแหน่ง OOP

ลองมาดูกันต่อที่ hand ต่อมา

แคชเกม ACR $1/$2 ผู้เล่น 6 คน Effective Stacks $200

Hero is ถือไพ้ 2 ใบที่ตำแหน่ง BB

3 คนแรก fold BTN raise มา $5 SB fold Hero call

Flop ($11): 8♠ 8♥ 4♥

Hero check BU bet $8.2. Hero call

Turn ($27.4): 5♥

Hero check BU check

River ($27.4): 4♣

Hero…

ในสถานการณ์นี้ เราจะใช้ PioSolver ในการวิเคราะห์ เพื่อดูว่ามันจะแนะนำ range ในการ floating ของเราว่าควรออกมาแบบไหน เมื่อเจอการ bet ที่บาลานซ์ที่ 75% ของ pot ที่ flop (อาจจะต้องซูมภาพเพื่อให้เห็นรายละเอียดขึ้นอีกหน่อย)

floating poker strategy on 884

hand ที่ควร float จะเป็นกลุ่มที่อยู่ในกรอบสีฟ้า (หัก A8 ที่เป็น hand ที่ติด trips ออก)

การ Out of Position (OOP) ทำให้เราเสียเปรียบเชิงกลยุทธ์อย่างมาก เห็นได้ชัดจากสถานการณ์นี้ เพราะเราสามารถ float ได้กำไรกับแค่ hand อย่าง A♥5x, Ax5♥, A♥6x, Ax6♥, A♥7x, Ax7♥, A♥9x, Ax9♥, A♥Tx, AxT♥, AJo, A♠5♠, A♠6♠, A♠7♠, A♠9♠, K♥Jx, KxJ♥, K♥Qx, KxQ♥, K♠T♠, K♠9♠, และ Q♠9♠ เท่านั้น (ไม่เล่น hand ที่เป็น 2 overs + BDFD ที่เหลือทั้งหมด)

เมื่อต้องเล่น OOP เราจะ float กับ Ax ที่มี backdoor flush draw และ hand พวก Kx ที่มี backdoor flush draw ที่แข็งแกร่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับ board texture อย่างมหาศาล ยิ่ง board wet (มี draw เยอะ) มากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งอยาก float น้อยลง แต่ยิ่งบอร์ด dry (มี draw น้อย) มากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งอยาก float มากขึ้น

ในการบาลานซ์กับ value bet ของเราที่ river เราจะใช้ hand พวก Ax เป็น showdown และจะ bluff กับ hand อย่าง Kx และ Qx ที่ float มา ถ้าเราไม่ float กับ hand เหล่านี้ เราจะไม่มี betting range ที่บาลานซ์พอที่ river เพราะเราจะไม่สามารถหาก bluff ได้มากพอมาบาลานซ์กับ value bet ของเรา 

3. Floating เมื่อเจอกับ c-bet ใน pot ที่ 3-bet มา เมื่ออยู่ตำแหน่ง IP

สถานการณ์นี้จะเหมือนกับตัวอย่างแรก ซึ่งมักจะเป็นสถานการณ์ที่ BB เจอกับ BTN หรือ SB เจอกับ BTN สถานการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องของการโต้ตอบกันระหว่าง range เจอกับ range เหมือนกัน เพราะ range ของเราจะเป็น linear ที่ไม่ถูก capped จากตำแหน่ง OOP (BB หรื SB) เจอกับ range ที่เป็น linear ถูก capped จากตำแหน่ง IP (BTN)

มาดูสถานการณ์ที่ BTN เจอกับ SB ใน 3-bet pot กัน

แคชเกม Ignition $2/$4 ผู้เล่น 6 คน Effective Stacks $400

Hero ถือไพ่ 2 ใบในมือที่ตำแหน่ง BTN

ผู้เล่น 3 คน fold Hero raise ก่อน $10 SB 3-bet กลับ $36 BB fold Hero call

Flop ($76): T♠ 8♦ 4♥

SB bet $38 Hero call

range ของเราจะหน้าตาประมาณนี้ ถ้าเรา call ด้วย draw ที่มี “จริงๆ” (เช่น gutshot หรือดีกว่านั้น)

floating poker strategy on t84r

range ที่จะเล่นต่อที่ flop เมื่อเจอ bet คือประมาณ 53.1% (ตามกรอบสีแดง)  

จะเห็นได้ว่า เรา defend น้อยเกินไปมากๆอีกครั้ง เนื่องจาก bluff ของคู่แข่งของเราต้องการความสำเร็จแค่ 33% ก็พอ (ทำให้เราต้อง defend 67%) จากการ bet ครึ่ง pot ของคู่แข่ง (ศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมได้จากบทความของ Ryan Fee เรื่อง minimum defense frequency)

Let’s see how our range should look against a half-pot c-bet in this situation. (You should be able to build it yourself by now.)

มาดูว่า range ของเราควรจะเป็นอย่างไรเมื่อเจอกับการ c-bet มาครึ่ง pot ในสถานการณ์นี้ (ตอนนี้เราควรสร้าง range ด้วยตัวเองได้แล้ว) 

float poker strategy vs half pot t84

hand ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ (กรอบสีฟ้า) ทำให้ความถี่ของการเล่นต่อของเราเพิ่มขึ้นเป็น 72.2% (ตามกรอบสีแดง)

เหมือนที่ผมทำให้ดูกับตัวอย่างแรก ผมเพิ่ม hand กลุ่ม 2 overs + backdoor flush draw กับ A9/K9 ที่มี backdoor flush draw เข้าไป แต่เนื่องจากคราวนี้คู่แข่งของเรา bet มาแค่ครึ่ง pot ทำให้เราต้อง float มากขึ้นกว่านี้ ดังนั้น ในกรณีนี้ ผมจึงเพิ่ม AQ combo เข้าไป เพื่อเพิ่มสัดส่วนการ defend เมื่อเจอกับการ c-bet ของคู่แข่งให้เหมาะสมขึ้น

เราควรต้องปรับ range ให้ยืดหยุ่นตาม bet size ของคู่แข่ง ถ้าเขา bet แค่ ⅓ ของ pot เราอาจจะต้องเริ่ม call กับ hand อย่าง 22, 44 และ AJo หรือ KQo เพื่อ defend เมื่อเจอกับ c-bet ขนาดนี้ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 

4. Floating เมื่อเจอกับ c-bet ใน pot ที่ 3-bet มา เมื่ออยู่ตำแหน่ง IP

มาดูอีก 1 ตัวอย่างเพิ่มเติม

แคชเกม 888 $1/$2 ผู้เล่น 6 คน Effective Stacks $200

Hero is ถือไพ่ 2 ใบในมือที่ตำแหน่ง MP

คนแรก fold Hero raise ไป $5 คนต่อมา fold BTN raise กลับไป $15 อีก 2 คน fold Hero call

Flop ($33): 8♠ 8♥ 4♥

Hero check BU bet $16.5 Hero call

ใน board แบบนี้ IP จะมี range advantage (หรือ equity advantage) รวมถึง nut advantage ที่สูงมาก เนื่องจาก hand ระดับ QQ+ ก็สามารถเป็น nut ได้ ด้วยสัดส่วน Stack-to-Pot Ratio ในระดับนี้ 

ด้วยปัจจัย 2 อย่างนี้ ทำให้เมื่อเราอยู่ตำแหน่ง OOP เราจึงจำเป็นต้อง defend น้อยกว่าที่ Minimum Defend Frequency แนะนำ

เพื่อความแม่นยำ ผมจึงใช้การวิ่ง sim โดยใช้ defending range ของ MP และ 3-bet range ของ BTN จากที่ Lab ของเราแนะนำ โดยได้ผลออกมาดังนี้ :

เรา fold 48.4% เมื่อเจอ c-bet กับ range นี้ (ตามกรอบสีแดง)

เราจะ call กับ AQs ที่มี backdoor flush draw ทั้งหมด และ 40% ของ AJs ที่มี backdoor flush draw, 30% ของ ATs ที่มี backdoor flush draw, 50% ของ KQs ที่มี backdoor flush draw และ 15% ของทั้ง KJs และ KTs ที่มี backdoor flush draw

จะเห็นว่าไม่มีกฎไหนของเราที่ใช้กับสถานการณ์นี้ได้เลย ทำไมน่ะหรือ? ผมคิดว่าเหตุผลบางข้อก็คือ :

1. IP มี equity และ nut advantage อย่างมหาศาล ซึ่งทำให้เขามี hand ที่มี equity สูง รวมกันอย่างหนาแน่นอยู่ใน range มากกว่าเรา

2. เราอยู่ในตำแหน่ง OOP นั่นทำให้เราต้องเล่นก่อน ซึ่งทำให้เราเสียเปรียบเชิงกลยุทธ์ ทำให้เราเรียก value ได้ยาก และไม่สามารถ bluff ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

3, SPR (stack-to-pot ratio) เริ่มมีค่าน้อย เมื่อเทียบกับ SPR ที่ถ้าเรา call c-bet มาแค่ 4bb เพื่อโอกาสที่จะกินชิพ 100bb ของคู่แข่ง ถือว่า ณ ตอนนี้เราต้องลงทุนเป็นจำนวนมาก เพื่อกินเงินทั้ง stack ของเขา ซึ่งหมายถึงทำให้ความคุ้มค่าของการ call มันลดลง

โดยสรุปแล้ว เมื่อเราอยู่ในตำแหน่ง OOP ที่เป็น caller ใน 3-bet pot เราต้องเลือก hand ที่จะมา float อย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยเราจะเลือก combo ที่ดีที่สุดที่จะ block value range ของคู่แข่งได้ (โดยปกติแล้วคือ QQ+) ทำให้เรามักจะเลือกตั้งแต่ AQ ที่มี Back door flush draw และ KQ ที่มี backdoor flush draw ขึ้นไป เป็นต้น

สรุป

เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับคนที่อยากพัฒนาตัวเองเป็นโปร ที่จะต้องเชี่ยวชาญในการ floating ให้ดี เมื่อเอามาใช้อย่างเหมาะสม มันจะช่วยเพิ่มอัตราการชนะ และช่วยให้เราแข็งแกร่ง เป็นศัตรูที่อันตรายรอบด้านในสายตาของคู่แข่งมากขึ้น

https://upswingpoker.com/floating-poker-float-strategy/