เมื่อเปิดไพ่ที่ได้รับมาเป็นไพ่ Q♦ Q♥ คุณเลยตัดสินใจที่จะ raise preflop ไป ปรากฎว่ามีผู้เล่นอีก 2 คน call ตามการเดิมพันของคุณมา flop ออกมาเป็นไพ่ต่ำๆ และไพ่บนมือของคุณยังเป็น overpairs อยู่ คุณรู้สึกว่าคุณกำลังจะได้ชิปเพิ่มขึ้นแน่ๆเลย แต่แล้วคุณก็คิดถึงบทความนี้ขึ้นมา ว่าได้พูดถึงสถานการณ์นี้ไว้ว่าอย่างไร
ในบทความนี้เราจะพูดถึงสถานการณ์ไหนที่คุณควรจะ check overpairs ที่อยู่ในมือ เพื่อที่จะได้กำไรสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ด้วย 3 สถานการณ์ใหญ่ๆ คือ เกมที่มีผู้เล่นเข้าร่วมหลายคน เกมที่คุณมีตำแหน่งไม่ดีแล้วเจอกับผู้เล่น tight และเกมที่คุณมีตำแหน่งที่ดีเจอกับผู้เล่นจาก big blindแต่บอร์ดไม่ดีนัก มาเริ่มกันเลย….
สถานการณ์ที่ 1 : เกมที่มีผู้เข้าร่วมเล่นหลายคน
สมมติว่าคุณ raise preflop ด้วยไพ่ Q♦ Q♥ มีผู้เล่น call ตามมา 2 คนในตำแหน่ง button และ big blind เปิด flop ออกมาเป็น T♥ 9♦ 5♠
ในสถานการณ์นี้คุณควรจะ check เว้นแต่ว่าคุณจะไปเล่นกับผู้เล่นมือใหม่มากๆที่มักจะสร้างความผิดพลาดจากการเดิมพัน เหตุผลที่จะต้อง check ในสถานการณ์นี้ค่อนข้างซับซ้อนนิดนึง
ส่วนใหญ่เราอาจจะให้น้ำหนักไปที่ค่าความได้เปรียบของเกมนี้ มันถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ผู้เล่นทั้งสามคน หมายความว่าค่าความได้เปรียบบนมือของคุณนั้นน้อยกว่าการเผชิญหน้ากับผู้เล่นแบบตัวต่อตัว ยิ่งไปกว่านั้นการป้องกันขึ้นอยู่กับผู้เล่นอีกสองคนแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะ c-bet ไปก็ไม่ได้ช่วยกดดันให้เขาเล่นไพ่ได้กว้างเหมือนเคย หรืออีกความหมายนึงคือ ผู้เล่นทั้งสองคนจะ call ไพ่ที่แพ้ Q♦ Q♥ ในมือของคุณน้อยลง เพราะต้องคัดไพ่เล่นมากขึ้น ถ้าเป็นเกมแบบตัวต่อตัวโอกาสที่คู่ต่อสู้จะเอาไพ่ที่แพ้ Q♦ Q♥ มาเล่นมากกว่า ปัจจัยสำคัญปัจจัยสุดท้ายก็คือเมื่อเผชิญหน้ากับผู้เล่นทั้งสองคนแล้ว pot odds ของคุณจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของมือที่เพิ่มมากขึ้น
เมื่อพิจารณาเหตุผลต่างๆเข้าด้วยกัน การตัดสินใจว่าจะเดิมพันดี หรือจะ check ดีก็น่าจะเข้าใกล้ความเป็นจริงมากกว่าตอนแรก รูปด้านล่างแสดงให้เห็นว่าถ้าสมมติตามตัวเกมที่เราได้ยกตัวอย่างกันไปนั้น สีเหลืองทั้งหมดคือไพ่ที่คุณควรจะ check ซึ่งก็รวม QQ ในมือที่เรายกตัวอย่างกันไปด้วย
แล้วหลังจาก check ไปแล้ว ควรจะทำยังไงต่อ ?
ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ยุ่งยากขึ้นมานิดนึงเพราะว่าขึ้นอยู่กับหลายๆอย่าง เช่น rangeไพ่ของคู่ต่อสู้ ถ้าผู้เล่นในตำแหน่ง button เดิมพันเพิ่มกลับมา ถ้าผู้เล่นในตำแหน่ง big blind call ตามการเดิมพัน ลักษณะไพ่บนบอร์ด ซึ่งส่วนใหญ่ก็คงทำได้เพียง check-call เท่านั้นและต้องระมัดระวังกับปัจจัยอื่นๆที่บอกไปเมื่อสักครู่ด้วย
สถานการณ์ที่ 2 : เกมที่คุณมีตำแหน่งไม่ดีแล้วเจอกับผู้เล่น tight
นี่เป็นสถานการณ์นึงที่มักจะเล่นผิดกันบ่อยถึงแม้ว่าจะเป็นผู้เล่นที่เล่นได้ดีก็ตาม ตัวอย่างเช่น คุณอยู่ในตำแหน่ง middle position ด้วย A♦ A♣ และผู้เล่นในตำแหน่ง button call ตามเข้ามา flop ออก J♥ 5♠ 3♣
99 % ของผู้เล่นจะเริ่มเอาเงินเข้าไปใน pot แต่จริงๆแล้วมันเป็นอะไรที่ผิดนะ อย่าเพิ่งเข้าใจอะไรเราผิด เราไม่ได้บอกว่าการลงเดิมพันตรงนี้เป็นแอคชั่นที่มี EV- เพียงแต่เราจะบอกว่ามันไม่ได้เป็นแอคชั่นที่มี EV สูงที่สุด
นี่คือข้อเสียของการลงเดิมพัน : ถึงแม้ว่า range ไพ่ของคุณจะมีโอกาสมี overpairs มากกว่าคู่ต่อสู้ แต่ยังไงแล้ว range ไพ่ของคุณก็ยังถือว่าอ่อนกว่าของคู่ต่อสู้อยู่ดี เพราะว่าเขาเป็นผู้เล่น tight จึงทำให้ range เขาอาจจะแคบกว่าปกติ และ range ที่เป็นไปได้ของเขานั้นส่วนมากก็อาจจะเป็น set ก็ได้
หมายความว่าถ้าคุณจะเล่นแบบตรงไปตรงมา (ลงเดิมพันเฉพาะมือแข็งๆและพวกรอสี รอเรียง และ check พวกไพ่กลางๆเป็นต้นไป) คู่ต่อสู้ของคุณก็จะเริ่ม c-bet ด้วยความ aggressive มากขึ้น และบังคับให้คุณเล่นหมด stack บ่อยมากๆ และมันไม่ง่ายสำหรับคุณหรอกที่จะตอบโต้กลับไป แน่นอนว่ามันจะเกิดสถานการณ์แบบนี้กับผู้เล่นที่มีทักษะประมานนึงแล้วและกังวลถึงเรื่องการใช้ประโยชน์ด้วย เพราะฉะนั้นคุณอาจจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ ถ้าคุณ check กลับไปคู่ต่อสู้อาจจะ raise กลับมาแบบ aggressive เลยก็ได้ ในส่วนนี้เราจะพูดถึงกันในหัวข้อถัดไป
แล้วหลังจาก check ไปแล้ว ควรจะทำยังไงต่อ ?
ครั้งนี้สถานการณ์ไม่ได้ซับซ้อน ยุ่งยากเหมือนสถานการณ์แรกเพราะว่าตอนนี้คุณเล่นแบบเผชิญหน้าตัวต่อตัวแล้ว ปกติสิ่งที่คุณควรจะทำก็คือ check-raise ด้วย overpairs บนมือ นอกจากว่าบอร์ดมันมีโอกาสติด straight ได้ในกรณีนี้ก็ควรจะเป็น check-call และคุณจะพบว่าคู่ต่อสู้ของคุณเล่นด้วยความ aggressive มากๆหลังจากการ check ของคุณ พยายามทำให้ไพ่บนมือของคุณดูเป็นไพ่แข็งๆเข้าไว้และส่วนมากมักจะยอมแพ้ในรอบ river ไปเอง
สถานการณ์ที่ 3 : เกมที่คุณมีตำแหน่งที่ดีเจอกับผู้เล่นจาก big blindแต่บอร์ดไม่ดีนัก
คำว่าบอร์ดไม่ดีนัก เราหมายถึงบอร์ดที่ดูเชื่อมต่อกันมากๆ อย่างเช่น 9♠ 7♠ 5♥ / T♠ 9♦ 8♥ หรือ 7♣ 5♥ 4♦. ลักษณะบอร์ดแบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้เล่นในตำแหน่ง big blind เพราะว่าจาก range ไพ่แล้วคู่ต่อสู้ของคุณจะมีโอกาสมีเรียง หรือมีสองคู่มากกว่า range ไพ่ในตำแหน่งอื่นๆ ดังในรูปด้านล่างใช้โปรแกรมคำนวณเอา ถ้าบอร์ด 9♠ 7♥ 5♦ และคุณอยู่ในตำแหน่ง middle position และเจอคู่ต่อสู้ในตำแหน่ง big blind ถึงแม้ว่าจะถือ AA บนมือ คุณก็ยังจะต้องเลือกแอคชั่น check ในสถานการณ์นี้
ทีนี้ลองสังเกตุดูว่ายิ่งคู่สูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะต้อง check มากขึ้นเท่านั้น AA ควรจะ check มากกว่า KK KK ควรจะ check มากกว่า QQ และ QQ ก็ควรจะ check มากกว่า JJ และ TT
การตัดสินใจที่จะ check ตรงนี้ไม่ได้ทำให้ไพ่บนมือแย่ลง ถึงแม้ไพ่ใบต่อไปในรอบ turn จะมา ไพ่บนมือของคุณก็ยังเป็น overpairs อยู่ ดังนั้น check ไปเถอะ แล้วรอดูไพ่ใบต่อไป แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณถือ KK อยู่บนมือ โอกาสที่ไพ่ใบต่อไปจะเปิดแล้วทำให้ไพ่คุณไม่เป็น overpairs แล้ว มีอยู่ 4 outs ถ้าถือ QQ อยู่บนมือก็มีโอกาส 8 outs ถ้าเป็นแบบนี้คุณมีความถี่ที่จะเดิมพันเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนถือ AA แต่แน่นอนว่าคุณก็ยังสามารถ check ได้เช่นกัน
ถ้าคุณต้องเผชิญฯหน้ากับผู้เล่นที่ช่างสังเกตุและมีทักษะสูงหน่อยแล้วล่ะก็ การที่คุณเลือกลงเดิมพัน overpairs บนบอร์ดเชื่อมๆกันแบบนี้อาจจะทำให้คุณตกนรกทั้งเป็นเลยก็ว่าได้ เพราะคู่ต่อสู้ของคุณจะต้อนคุณด้วยความ aggressive ไม่ว่าจะเดิมพันหรือจะ check เพราะฉะนั้น check ให้บ่อยหน่อยก็น่าจะดีกว่า
แล้วหลังจาก check ไปแล้ว ควรจะทำยังไงต่อ ?
การ check จะทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น คุณสามารถ call ตามไปได้เรื่อยๆเลยถึงแม้ว่าไพ่ในรอบ turn อาจจะทำให้ใช้ไพ่ใบเดียวบนมือเพื่อติด straight ก็ตาม (แต่ถ้าเป็นแบบนี้ในรอบ river เราก็ควรจะ fold นะ) และถ้าไพ่ในรอบ turn ออกมาแบบว่างๆไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย คุณสามารถ call ไปยันถึง river ได้เลยทีเดียว ไม่ยากเลยใช่มั้ย ?
Source : https://upswingpoker.com/when-to-check-overpairs/